xs
xsm
sm
md
lg

ชาวนาหมดโอกาสทองรับจำนำข้าว ขณะมีข่าวสะพัด “จำนำแกลบ” สวมรอยเข้าโครงการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พัทลุง - ข้าวเปลือกวูบ ชาวนาหมดโอกาสทองรับจำนำข้าวเนื่องจากภัยน้ำท่วม ผลผลิตน้อยความชื้นสูง ขณะมีข่าวสะพัดบางกลุ่มเตรียม “จำนำแกลบ” นำข้าวเก่าสวมรอยเข้าโครงการ

นายกสมาคมโรงสีข้าวจังหวัดพัทลุง และสมาชิกสมาคมโรงสีข้าวภาคใต้ เปิดเผยว่า จังหวัดพัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นศูนย์กลางผลิตข้าวรายใหญ่ของภาคใต้ที่สามารถผลิตได้ปีละ 1 ล้านตัน แต่ปรากฏว่า ข้าวนาปีรอบแรกปี 2554/2555 ไม่บรรลุเป้าหมาย

โดยเฉพาะจังหวัดพัทลุง เพราะนาข้าวถูกน้ำท่วมถึง 4-5 ระลอกใหญ่ ทำให้ข้าวด้อยคุณภาพและได้ผลผลิตน้อย โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจึงรับจำนำได้น้อยมาก เพราะเมื่อถูกน้ำท่วมชาวนาก็ต้องไปแจ้งความเสียหายเพื่อรับการช่วยเหลือชดเชย

“จึงเกิดปัญหา 2 ตลาดขึ้น ตลาดหนึ่งเข้าสู่โครงการรับจำนำของรัฐบาลที่ได้ราคาดีถึง 15,000 บาท/เกวียน อีกส่วนหนึ่งเข้าสู่ตลาดโรงสีข้าว โรงสีข้าวรับซื้อเอง ตลาดตรงนี้ส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มนาข้าวที่ถูกน้ำท่วมที่แจ้งรับความเสียหายเพื่อรับค่าชดเชย ข้าวที่เสียหายจึงนำมาขายกับโรงสี

อีกส่วนหนึ่งชาวนารายย่อย รายละ 3-5 ไร่ ไม่สนใจที่จะลงทะเบียน และอีกส่วนหนึ่งไม่เข้าใจโครงการจึงไม่ลงทะเบียน ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่โครงการรับจำนำได้ ตลาดตรงนี้ชาวนาจะได้ราคาถูกกว่าโครงการรับจำนำถึง 4,000-5,000 บาท/เกวียน” นายกสมาคมโรงสีข้าวจังหวัดพัทลุง กล่าว

นอกจากนี้ นายไสว ยังกล่าวอีกว่า โรงสีที่พัทลุงเข้าโครงการของรัฐบาลจำนวน 5 โรง โดยรับจำนำข้าว 10 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 14,600 บาท ส่วนโรงสีที่รับซื้อข้าวจากชาวนาที่ไม่สามารถเข้าสู่โครงการรับจำนำได้ ราคาอยู่ที่ 9,000-9,500 บาท และ 10,000 บาท

“โรงสีของตนตอนนี้มีชาวนาเข้ามาจำนำ วันละ 4-5 เกวียน จากเดิมที่ไม่ต่ำกว่า 100 เกวียน/วัน สาเหตุเนื่องมาจากตอนนี้โรงสีจำนวน 6 แห่ง ที่รับจำนำข้าว ยังได้ข้าวโครงการรับจำนำยังไม่ถึง 500 เกวียน โดยเริ่มโครงการมาตั้งแต่วันที่ 10 มกราคมนี้” นายไสว กล่าว

 
โดยข้าวนาปีรอบแรกปี 2554/2555 สูญออกไปจากตลาดประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ เกิดจากภาวะภัยธรรมชาติ คนที่เคยขายข้าวได้ประมาณ 10 เกวียน กลับขายได้จำนวน 2 เกวียน ชาวนานาปีรอบแรกปีนี้ เสียโอกาสทองไปจากโครงการของรัฐบาลที่มีนโยบายยกระดับชาวนาไป ฤดูแล้งชาวนาสามารถบริหารจัดการน้ำได้ แต่มาในฤดูฝนตกยาวชาวนาไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้

นายไสว ยังกล่าวอีกว่า จากโครงการับจำนำข้าวของรัฐบาล ราคาอยู่ที่ 15,000 บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวไต่ราคามาอยู่ที่ 800 เหรียญสหรัฐอเมริกา ทำให้ข้าวไทยไทยไม่สามารถเข้าไปแข่งขันในตลาดโลกได้ เพราะข้าวประเทศเวียนนาม พม่า อินเดีย ปากีสถาน ลาว กัมพูชา ราคาถูกกว่าของไทย โดยเฉพาะของประเทศเวียดนาม ราคาพียง 500 เหรียญเท่านั้น

แต่เมื่อไม่สามารถสู้กับตลาดต่างประเทศได้ รัฐบาลก็สามารถนำข้าวมาเก็บไว้ในคลังได้ 1-2 ปี ตอนนี้ประเทศไทยมีข้าวล้นตลาด คาดว่าทั้งคลังของรัฐบาล โรงสีข้าว และของคลังของพ่อค้าข้าวมีไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน ผู้บริโภคจึงไม่ต้องหวั่นวิตกว่าราคาข้าวจะสูงขึ้นแต่อย่างใด หากราคาข้าวในท้องตลาดราคาสูง รัฐบาลก็ปล่อยข้าวออกมาจากคลัง หากราคาข้าวในท้องตลาดสูง 15 บาท รัฐบาลก็ออกเทขาย 12 บาท/กก.เป็นต้น

“จนถึงขณะนี้ราคาข้าวในท้องตลาดของโรงสีข้าวราคาอยู่ที่ 16 บาท/กก.ดังนั้น ผู้บริโภคไม่ต้องหวั่นวิตกว่าโครงการของรัฐบาลจะทำให้ราคาข้าวท้องตลาดสูงแล้วจะมีจะกระทบ แต่ผู้ที่ได้ราคาสูง คือ ชาวนาเพราะโครงการนี้รัฐบาลต้องการยกฐานะของชาวนา แต่ผู้บริโภคได้บริโภคราคาถูก” นายไสว กล่าว

นอกจากนี้ แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการข้าว เปิดเผยว่า ภาวะที่ชาวนาเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวมีน้อยในพื้นที่ ปัจจัยสำคัญเพราะเป็นชาวนารายย่อยที่ทำนาเอาข้าวไว้บริโภคเอง มิได้ทำเพื่อการค้าขาย จึงไม่ไปขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการรับจำนำ และที่สำคัญคือโครงการรับจำนำข้าว ชาวนาจะต้องเก็บข้าวไปส่งยังโรงสีเอง อุปกรณ์ต่างๆ เช่น รถบรรทุกข้าว ชาวนาขนาดย่อยไม่มีความพร้อม แต่สำหรับนาขนาดใหญ่ จะมีความพร้อม

แหล่งข่าวยังเปิดเผยว่า ขณะนี้มีเบาะแสการเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่มที่จะดำเนินการสวมทะเบียนข้าวเข้าสู่โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยเอาข้าวเก่าที่เก็บกักตุนเอาไว้หรือเรียกกันว่า โครงการรับจำนำแกลบ จากเดิมที่เคยซื้อกับชาวนามาประมาณ 7,000-8,000 บาท มาเข้าสู่โครงการับจำนำข้าว 15,000 บาท/ตัน โดยเฉพาะมีการเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดสงขลา และจังหวัดตรัง

ส่วนทางด้าน คณะทำงานติดตามกำกับดูแลการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ได้เข้าตรวจสอบตรวจสต๊อกข้าวเปลือก โรงสีข้าวจำนวน 6 แห่ง ใน 3 อำเภอ อำเภอเมือง อำเภอปากพะยูน และอำเภอบางแก้ว จ.พัทลุง ที่ร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวนา ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 ซึ่งเป็นช่วงที่เกษตรกรชาวนาจังหวัดพัทลุงนำผลผลิตข้าวนาปีออกจำนำ

โดยขณะนี้ชาวนาในพื้นที่ตำบลชัยบุรี ตำบลปรางหมู่ อำเภอเมือง และพื้นที่ตำบลดอนประดู่ และตำบลดอนทราย อำเภอปากพะยูน เริ่มทยอยนำข้าวเปลือกจำนำกับโรงสีข้าว ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าข้าวเปลือกที่เกษตรกรจำนำนั้นมีความชื้นอยู่ที่ 25% จะได้รับราคาตามโครงการรับจำนำตันละ 13,800 บาท และหากความชื้นไม่เกิน 15% ตันละ 14,600 บาท สาเหตุที่ข้าวเปลือกของเกษตรกรมีความชื้นสูงนั้นเนื่องจากพื้นที่นาข้าวที่ผ่านมานั้นถูกน้ำท่วม และขณะที่เกษตรกรเกี่ยวข้าวนั้นก็ยังสภาพน้ำขังภายในแปลงนา

ด้าน นายไพรวัลย์ ชูใหม่ นักวิชาการชำนาญการ สำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุง เปิดเผยว่า ชาวนาในพื้นที่จังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช สงขลา สัดส่วนที่สูงมาก คือ จะเป็นชาวนารายย่อย ไม่ใช่ขนาดใหญ่เหมือนกับภาคกลาง แต่จะเป็นนาของตนเอง ไม่เป็นนาเช่า โดยเฉพาะจังหวัดพัทลุง ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นขนาดย่อยที่มีนาไม่ถึง 10 ไร่ เป้าหมายคือทำไว้บริโภคภายใน สำหรับพื้นที่จะทำนาปีได้ ในจังหวัดพัทลุงมีประมาณ 220,000 ไร่
กำลังโหลดความคิดเห็น