xs
xsm
sm
md
lg

กฟผ. กับความรับผิดชอบต่อสังคม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บรรยากาศการต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินใน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่ง กฟผ.พยายามใช้วาทกรรม ถ่านหินเป็นพลังงานสะอาด
ศยามล ไกยูรวงศ์
โครงการเสริมสร้างจิตสำนึกนิเวศวิทยา (สจน.)

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการหาพื้นที่ที่จะตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งในภาคอื่นๆ และภาคใต้อีก 9 โรง ในวันนี้การนำเสนอโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แผ่วเบาลง เพื่อกลบกระแสความน่ากลัวของผลกระทบจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น แต่กลับมาโหมกระพือโรงไฟฟ้าถ่านหินที่นำเข้าจากประเทศอินโดนิเซีย และออสเตรเลีย โดย กฟผ. บอกอยู่เสมอว่า

“ประเทศไทยจำเป็นต้องสำรองพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้มีไฟฟ้าใช้ตลอดไป และพยายามหาพื้นที่ตั้งที่เหมาะสมสะดวกในการขนส่ง โดยสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ และถ้าต้นทุนถูกลง ประชาชนก็จะได้ใช้ไฟถูกลง”

เจ้าหน้าที่ กฟผ. ใช้วาทกรรมดังกล่าว กรอกหูประชาชนในพื้นที่ในทุกวันทุกกิจกรรม ที่ กฟผ. ให้การสนับสนุนงบประมาณแก่โรงเรียน วัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผ่านการสื่อสารกับผู้ปกครองท้องที่ นายก อบต. นายกเทศมนตรี แจกอุปกรณ์เครื่องเขียน อุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์ทั้งหลายที่มีกิจกรรมเกิดขึ้นในชุมชน วันเด็ก วันสงกรานต์ วันลอยกระทง เป็นต้น
ที่จังหวัดตรัง กฟผ. หมุนเวียนพาประชาชนในพื้นที่ของตำบลวังวน อ.กันตัง ไปท่องเที่ยวทุ่งดอกบัวตอง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง หลายรอบ เพื่อแสดงให้เห็นว่า กฟผ.จัดการมลพิษของโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ทั้งหมด 10 โรงที่มีการผลิตไฟฟ้า จากโรงไฟฟ้าทั้งหมด 13 โรง โดยไม่ได้พาไปพูดคุยกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพจากการสูดดมมลพิษที่มาจากการเผาไหม้ของถ่านหิน กฟผ. ไม่ได้กล่าวถึงคดีความที่มีการฟ้องร้องกันจนทำให้ กฟผ.ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ชาวแม่เมาะอย่างไร

กฟผ. ส่งเจ้าหน้าที่ไปทำงานมวลชนสัมพันธ์ โดยการว่าจ้างคนในพื้นที่ดำเนินการทุกวัน จนทำให้ประชาชนในพื้นที่มีความขัดแย้งแตกแยกเป็นสองกลุ่ม ระหว่างการเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยกับโครงการ ที่จังหวัดตรัง กฟผ. เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัด นายก อบจ. ชี้แจงรายละเอียดเบื้องต้นของการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และชี้แจงข้อมูลให้สื่อมวลชนตรังรับทราบว่า

“ใช้ระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้โรงไฟฟ้าเป็นมิตรกับชุมชน โดยชุมชนสามารถอยู่ร่วมอาศัยกับโรงไฟฟ้าอย่างปลอดภัย ส่วนเรื่องสิ่งแวดล้อมนั้นอาจมีผลกระทบจากโครงการบ้าง แต่ กฟผ.จะปลูกใหม่ทดแทนมากกว่าเท่าตัว ส่วนเรื่องพะยูน ที่หลายคนวิตกว่าน้ำหล่อเย็นถ่านหิน จะไปทำลายแหล่งหญ้าทะเลนั้น ปัจจุบัน เป็นโรงไฟฟ้าแบบปิด ไม่ได้กองถ่านหินเหมือนในยุคก่อน เพราะฉะนั้นไม่ต้องหวั่นกลัว เพราะน้ำหล่อเย็นจะมีอุณหภูมิต่างจากธรรมชาติแค่ 1 องศา ไม่เป็นอันตรายต่อธรรมชาติ” (หนังสือพิมพ์ข่าวเสรี จังหวัดตรัง วันที่ 30 ม.ค. - 5 ก.พ.2555)

กฟผ. ใช้งบประมาณประชาสัมพันธ์จากรายได้ค่าเอฟที (น้ำมันเชื้อเพลิง) ที่ผู้บริโภคจ่าย มานำเสนอให้เห็นภาพทุ่งดอกบัวตองที่แม่เมาะ กระจายผ่านสื่อโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ เพื่อยืนยันว่าไม่มีมลพิษ มีแต่ความสวยงานที่ อ.แม่เมาะที่ตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ ในยุคแรกเริ่ม

หากไล่เลียงการเดินทางของ กฟผ.ในภาคใต้แล้ว ยังเดินทางทั้งในจังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช ตรัง และกระบี่ เพื่อหาพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าให้ได้ในภาคใต้ หากคนในจังหวัดนั้นให้การยอมรับ

ตัวอย่างของจังหวัดตรัง กฟผ. มาทำงานมวลชนสัมพันธ์ในพื้นที่เป็นเวลาประมาณ 2 ปี กฟผ. ไม่เคยชี้แจงข้อมูลของโครงการอย่างตรงไปตรงมาทั้งผลกระทบด้านบวก ด้านลบ ต่อหน้าสาธารณะให้คนในจังหวัดตรัง และคนในตำบลวังวนรับทราบอย่างเป็นทางการ ไม่มีข้อมูลใดๆที่จะแสดงให้คนตรังได้มีข้อมูลเพื่อพิจารณาตัดสินใจอย่างรอบด้าน นอกจากการแจกเงินแจกของในพื้นที่

พฤติกรรมและวาทกรรมเช่นนี้คือ “ความรับผิดชอบต่อสังคม (cooperative social responsibility/CSR) ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหรือไม่” เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องตั้งคำถามต่อหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หรือโครงการพัฒนาของรัฐ หรือของเอกชนก็ตาม

กฟผ. ใช้เงินตรามาผูกมิตรเพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์กับชุมชน โดยใช้ความสัมพันธ์ในหมู่เครือข่ายญาติพี่น้องที่เป็นข้อเด่นของสังคมไทยมาเป็นเครื่องมือของการพัฒนา เพื่อให้เกิดการยอมจำนนต่อการทดแทนบุญคุณและต้องยอมรับต่อการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า การกระทำเช่นนี้เป็นการเคารพสติปัญญาของคนไทยหรือไม่ ที่พวกเขาสามารถร่วมตัดสินใจต่อทิศทางการพัฒนาตำบล จังหวัดประเทศไทยได้

หาก กฟผ.กล้าพูดแต่ด้านดี กฟผ.ต้องกล้าพูดด้านลบ และความจริงทั้งหมดที่ กฟผ. มีแผนการดำเนินการให้คนไทย คนใต้ และคนจังหวัดตรังรับรู้ทั้งหมด ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญรองรับสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารโครงการพัฒนา มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น รับรองสิทธิชุมชน และมีการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

แต่การกระทำดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญยังไปไม่ถึงดวงดาว แต่ กฟผ. กับโฆษณาชวนเชื่อว่าได้ทำ CSR มีความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว กฟผ.ต้องกล้ารับผิดไม่ใช่รับชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น ดังเช่น กรณีโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และที่อื่นๆ ที่ดำเนินการไปแล้ว

ประเด็นของโรงไฟฟ้ามิได้อยู่ที่ว่าจะควรจะมีโรงไฟฟ้าหรือไม่ ที่ทำให้คนไทยต้องแตกแยกกันระหว่างกลุ่มที่เอากับกลุ่มที่ไม่เอา ประเด็นสำคัญที่ กฟผ. ต้องเปิดเผยให้รับรู้กันถ้วนหน้าเพื่อให้คนไทยตัดสินใจร่วมกันว่าจะพัฒนาประเทศไทยแบบไหน ดังนี้

1) ประเทศไทยจะมีทิศทางการพัฒนาพลังงานอย่างไร ทางเลือกของการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนของระดับประเทศ ซึ่งจะเป็นคำตอบว่าประเทศไทยมีความจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าหรือไม่
2) ประเทศไทยได้อะไรจากผลประโยชน์ของโรงไฟฟ้า นอกจากมีไฟฟ้าใช้ ผลประโยชน์ของการลงทุนตกอยู่ที่ใคร กระจายรายได้หรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ต้นทุนของการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
3) ความเหมาะสมของพื้นที่มีจริงหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับทรัพยากรธรรมชาติที่สูญเสียไป และปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ใครรับผิดชอบ มีการรองรับในการแก้ไขปัญหาในระยะยาวหรือไม่
4) ผลกระทบของโรงไฟฟ้ามีอะไร ใครที่ต้องแบกรักภาระผลกระทบทั้งในพื้นที่ จังหวัดและประเทศชาติ เมื่อมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพในอนาคต
5) ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระค่าเอฟที (ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) มาโดยตลอด เมื่อต้นทุนโรงไฟฟ้าถูก ผู้บริโภคได้จ่ายค่าไฟฟ้าถูกลงจริงหรือไม่ เมื่อแยกประเภทกลุ่มผู้บริโภคที่มีฐานะทางการเงินและการใช้ไฟฟ้าที่แตกต่างกัน
6) การรวมศูนย์การผลิตไฟฟ้าโดย กฟผ. ยังเหมาะสมกับทิศทางการพัฒนาพลังงานของประเทศ
และแก้ไขปัญหาโลกร้อน ได้จริงหรือ เมื่อข้อมูลปรากฏชัดว่าผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจกมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินและอุตสาหกรรมด้านพลังงานประมาณร้อยละ 75

คนไทยต้องพิจารณาทั้ง 6 ประเด็น และมีข้อมูลในการตัดสินใจอย่างรอบด้าน ว่าจังหวัดของ
ท่าน ประเทศไทยของท่านควรมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ตลอดจนชั่วลูกชั่วหลานของท่านหรือไม่ ที่สำคัญการดำรงชีวิตของท่านจะอยู่กับโรงไฟฟ้าอย่างมีความสุขได้จริงหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการเกษตรกรรม กับการพัฒนาอุตสาหกรรมท่านจะพัฒนาด้านใด เพราะฉะนั้นคนไทยจึงต้องตั้งคำถามกับ กฟผ.ให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง มิใช่ปัดภาระความรับผิดชอบให้กับการสูญเสียภาษีของประชาชน และคนไทยต้องแบกรับภาระผลกระทบไปจนวันตาย ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งร่ำรวยจากรายได้ของการผลิตไฟฟ้า

คนไทยจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเมื่อ กฟผ. แปรรูปเป็นบริษัทมหาชน จะรับผิดชอบต่อสังคมไทยได้จริง เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงวันนี้รัฐวิสาหกิจแบบ กฟผ. ยังทำให้คนไทยต้องแบกรับภาระผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากโรงไฟฟ้า และรับภาระค่าเอฟทีจากการใช้ไฟฟ้า
กำลังโหลดความคิดเห็น