ระนอง- กอ.รมน.ร่วมจัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทางทะเลกลุ่มโรฮิงญาที่ระนอง
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (18 ส.ค.) พล.ต.ทวีป บุญมา รองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ศปป.2 กอ.รมน.) เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อประสานแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทางทะเล(ชาวโรฮิงญา) ปี 2555 ที่ศูนย์การประชุมเฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อ.เมือง จ.ระนอง มี พ.อ.มนัส คงแป้น ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนแยก 1 กำลังพลของ กอ.รมน. 6 จังหวัด ฝั่งอันดามัน ทั้ง ทหารบก ทหารเรือ ฝ่ายปกครอง ตำรวจภูธร ตำรวจน้ำ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
พ.อ.มนัส กล่าวว่า กลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แยกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้หลบหนี้เข้าเมืองสัญชาติพม่า และกลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองทางทะเลชาวโรฮิงญา เป้นปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน ผู้หลบหนีเข้าเมืองทางทะเลกลุ่มนี้คือชาวโรฮิงญา หรือ อาระกัน ซึ่งเดินทางจากรัฐยะไข่ของพม่า หรือจากพื้นที่ตอนใต้ของบังคลาเทศ พบการหลบหนีเข้าเมืองทางทะเลด้านจังหวัดระนองครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2541 จำนวน 104 คน หลังจากนั้นมีการหลบหนีเข้าเมืองทุกปี
โดยมีสถิติการจับกุมดังนี้ ปี 2549 จำนวน 1,225 คน ปี 2550 จำนวน 2,763 คน ปี 2551 จำนวน 4,886 คน ปี 2552 จำนวน 1,477 คน และปี 2553 จำนวน 93 คน โดยมีเป้าหมายการเดินทางเข้ามาในจังหวัดระนองและจังหวัดอื่นๆ ในฝั่งทะเลอันดามันเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศที่ 3 ต่อไป
พล.ต.ทวีป กล่าวว่า ศปป2.กอ.รมน.พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การวางแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหลบหนีเข้าเมืองทางทะเล ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนแยก 1 ปี 2555 เป็นไปตามกรอบ นโยบาย และแนวทางของ กอ.รมน.จึงเห็นสมควรจัดเจ้าหน้าที่ระดับนโยบายประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อประสานแผนปฏิบัติป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทางทะเล ร่วมกับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนแยก 1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ต่างคนต่างทำ
พล.ต.ทวีป กล่าวด้วยว่า ภัยคุกคามจากคนต่างด้าว หรือแรงงานต่างด้าวไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย ถือเป็นภัยคุกคามต่อประเทศในกลุ่มที่ 2 ซึ่งการแก้ไขปัญหาต้องกำหนดเป็นเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งรัฐบาลที่แล้วได้วางกรอบกว้างๆ ในการแก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ คือ ให้ยึดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักภายใต้ความสมดุลระหว่างด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิทธิมนุษยชน
