ระนอง-สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง รับหลักการร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 วงเงิน 184,885,030 บาท
วันนี้(14 มิ.ย.54) ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง นายอิสหาก สาลี ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง เป็นประธานการประชุมสภา อบจ.ระนอง สมัยวิสามัญ สมัยที่ 4 ประจำปี 2554 มีสมาชิกลงชื่อเข้าร่วมประชุม จำนวน 18 คน โดยนายนภา นทีทอง นายก อบจ.ระนอง ได้เสนอญัตติร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 วงเงิน 184,885,030 บาท ให้สมาชิกได้พิจารณาในวาระที่ 1 หลังจากที่ได้ยืดเยื้อมานาน
ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเอกฉันท์ จากนั้นได้มีการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการแปรญัตติ จำนวน 7 คน และกำหนดประชุมในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ในวันที่ 20 มิถุนายน 2554 เวลา 13.00 น. นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เลือกนางสุธาทิพย์ ฐอสุวรรณ สมาชิกสภา อบจ.เขตอำเภอเมืองระนอง เป็นคณะกรรมการพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง แทนตำแหน่งที่ว่างด้วย
นายประภาส พัฒน์ชูชีพ สมาชิกสภา อบจ.ระนอง เขตอำเภอเมืองระนอง กล่าวว่า เดิม อบจ.ระนองได้ตั้งร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2554 วงเงิน 189 ล้านบาทแต่เมื่อมีการเสนอกลับมาใหม่ลดลงเหลือ 184 ล้านบาท ไม่ทราบว่าใช้หลักเกณฑ์อะไรแต่ได้เห็นด้วยกับฝ่ายบริหารที่ได้ตั้งงบประมาณจำนวน 1.5 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องฟอกไตให้กับโรงพยาบาลระนอง แต่มีข้อสงสัยการตั้งงบประมาณโครงการก่อสร้างสนามยิงธนูและซื้อคันธนู เป็นเงิน 2.36 ล้านบาท ซึ่งน่าจะมีการสนับสนุนกีฬาชนิดอื่น ๆ ด้วยที่นักกีฬาจังหวัดระนองประสบความสำเร็จทั้งในระดับภาคและระดับชาติ
ขณะที่นายอุดม ยกทอง สมาชิกสภา อบจ.ระนอง เขตอำเภอกะเปอร์ กล่าวว่า ผู้บริหาร อบจ.ระนองน่าจะทำงานเชิงรุกมากขึ้น ต้องมีแผนงานจัดหารายได้มาพัฒนาท้องถิ่นให้มากขึ้น อย่ารอเพียงเงินภาษีที่ได้รับการจัดสรรหรือเงินอุดหนุนจากรัฐบาล โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวต้องหาวิธีการดึงคนเข้าสู่จังหวัดระนองให้มากขึ้น นอกจากนี้ต้องรณรงค์ให้ผู้ที่นำรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ไปใช้งานที่จังหวัดระนอง ต้องโอนหรือจดทะเบียนที่จังหวัดระนอง เพื่อนำเงินภาษีล้อเลื่อนมาพัฒนาท้องถิ่นได้อีกทางหนึ่งด้วย
ด้านนายนภา นทีทอง นายก อบจ.ระนอง กล่าวว่า ครั้งแรกฝ่ายบริหารได้เสนอร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ปี 2554 วงเงิน 189 ล้านบาท แต่เมื่อร่างงบประมาณดังกล่าวตกไปและมีการจัดทำร่างใหม่ขึ้นมาจึงเหลือเพียง 184 ล้านบาทเศษ เนื่องมาจากระยะเวลาที่ล่วงเลยมาพอสมควร ซึ่งได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดแล้ว ทั้งเงินรายได้จากภาษีอากรที่จัดเก็บเอง เงินภาษีที่ได้รับการจัดสรร และเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ซึ่งน่าจะได้ประมาณ 184 ล้านบาท จึงต้องตั้งรายจ่ายไว้เท่ากับรายรับในลักษณะสมดุล แต่หากโชคดีได้รับเงินเพิ่มมาอีก ภายหลังก็สามารถนำไปเป็นเงินสะสมแล้วนำออกมาใช้ได้เช่นกัน