“น้องธันย์” เหยื่อรถไฟฟ้าสิงคโปร์เตรียมบินกลับบ้านแล้ว

ตรัง - พ่อน้องธันย์ เหยื่อรถไฟฟ้าสิงคโปร์ เตรียมพาลูกสาวบินกลับ กทม. พักฟื้นที่ศูนย์ศิรินธร กทม. ด้านเจ้าตัวดีใจได้กลับไทย บ่นคิดถึงครอบครัว เพื่อน เผยครบรอบวันเกิด อยากกินสุกี้เมืองตรัง

วันนี้ (12 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดตรังว่า จากกรณีที่ ด.ญ.นิจรีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือ น้องธันย์ นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยตรัง วัย 14 ปี ซึ่งกำลังเดินทางไปเรียนภาษาอังกฤษ ที่ประเทศสิงคโปร์ แต่ได้ประสบอุบัติเหตุถูกรถไฟใต้ดินชน ที่สถานีอั้งม้อเกี้ยว ประเทศสิงคโปร์ จนทำให้แพทย์ต้องตัดขาทั้ง 2 ข้างตั้งแต่หัวเข่าลงไปทิ้ง และขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตานโต๊กเส็ง ประเทศสิงคโปร์ นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายน 2554 ที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด นายกิจธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ อายุ 55 ปี นักธุรกิจชาวตรัง ซึ่งเป็นบิดา ได้เดินทางไปเยี่ยมน้องธันย์ ที่ โรงพยาบาลตานโต๊กเซ็ง ประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้อาการของน้องธันย์ ดีขึ้น บาดแผลที่ขาทั้งสองข้างเริ่มหาย และอยู่ระหว่างการทำกายภาพบำบัด เพื่อเตรียมใส่ขาเทียม ซึ่งในช่วงดังกล่าว ทางโรงพยาบาลตานโต๊กเส็ง เห็นว่าอาการบุตรสาวดีขึ้นมากแล้ว จึงขอคืนห้องพิเศษ และย้ายน้องธันย์ ไปพักรักษาตัวรวมกับคนไข้รายอื่น แต่ทำให้ตนและครอบครัวรู้สึกเป็นห่วงสภาพจิตใจของน้องธันย์ อย่างมาก

โดย นายกิจธเนศ เกรงว่า หากบุตรสาวไปเห็นภาพคนไข้รายอื่นแล้ว สภาพจิตใจอาจจะหดหู่ลง และอาจทำให้อาการไม่ดีขึ้น ประกอบกับหากน้องธันย์ ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตานโต๊กเซ็ง ต่อไป ก็จะทำให้การเดินทางไปมาของทางครอบครัวไม่สะดวก และยังทำให้ธุรกิจของตนที่ทำอยู่ในขณะนี้ไม่ต่อเนื่องด้วย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจพาน้องธันย์ เดินทางกลับมาพักฟื้นต่อที่ศูนย์ศิรินธร กทม. ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ จนกว่าน้องธันย์ จะสามารถเดินได้

ส่วนเรื่องการเรียนนั้น นายกิจธเนศ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ขอหยุดพักการเรียนของน้องธันย์ กับทางโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยตรัง ไว้ก่อนประมาณ 1 ปี โดยหลังจากหายดีแล้ว บุตรสาวได้ขออนุญาตกลับไปเรียนคอร์สภาษาอังกฤษ เคมบริดจ์ ที่ประเทศสิงคโปร์ ต่อไปอีก ประมาณ 6 เดือน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะเรียนภาษาภาษาจีนกลางไปด้วย ซึ่งตนไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด

สำหรับเรื่องคดีความและการเยียวยาจากหน่วยงานของประเทศสิงคโปร์ นายกิจธเนศ กล่าวว่า เป็นไปด้วยความล่าช้ามาก และยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้ตนได้มอบหมายให้ทนายความเข้าไปดำเนินการต่อสู้คดี แต่บางเรื่องพูดมากไม่ได้ เพราะจะมีผลต่อรูปคดี ส่วนแม่ของน้องธันย์ ขณะนี้ยังทำใจยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวไม่ได้ ซึ่งต้องอาศัยกำลังใจจากทุกคนในครอบครัว แต่สิ่งที่ตนเป็นห่วงมากที่สุด ขณะนี้ก็คือ น้องธันย์ ยังช่วยเหลือตัวเองได้ไม่มากนัก ถ้าหากช่วยตัวเองได้แล้ว ก็คงจะคลายความกังวลลง

อย่างไรก็ตาม พ่อของน้องธันย์ ยังได้ฝากไปถึงรัฐบาลไทย ให้ช่วยดูแลนักเรียนไทยที่ไปศึกษายังต่างประเทศทั่วโลก ไม่เฉพาะบุตรสาวให้มากกว่านี้ โดยให้คิดว่าเด็กเหล่านี้เป็นสมบัติและอนาคตของชาติ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า และที่สำคัญต้องเพิ่มความเข้มงวดมาตรการรักษาความปลอดภัยระบบรถไฟฟ้าในเมืองไทยให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุเศร้าสลดเหมือนกับน้องธันย์ ขึ้นได้

ด้าน ด.ญ.นิจรีย์ หรือ น้องธันย์ กล่าวว่า ขณะนี้อาการของตนดีขึ้นมากแล้ว สามารถช่วยเหลือตัวเองโดยการอาบน้ำ และสามารถกลิ้งไปมาได้ด้วย เพียงแต่ยังเดินไม่ได้ ต้องอาศัยนั่งบนรถเข็น ทั้งนี้ หลังจากกลับไปพักรักษาตัวทำกายภาพบำบัดที่ศูนย์ศิรินธร กทม. คาดว่าหลังจากแพทย์ใส่ขาเทียมให้แล้ว ตนคงเดินได้ และสามารถกลับบ้านไปเยี่ยมทุกคนที่ จ.ตรังได้ เพราะในช่วงที่พักรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลตานโต๊กเส็ง นานกว่า 3 เดือน รู้สึกคิดถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง รวมทั้งเพื่อนๆ มาก ได้แต่ติดต่อกันทางเฟซบุ๊ค เอ็มเอสเอ็น และมีโทรศัพท์หากันบ้าง

น้องธันย์ ยังบอกอีกว่า วันที่ 16 มิถุนายนนี้ เป็นวันคล้ายวันเกิด อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ สิ่งที่ตนอยากได้มากที่สุดก็คือ การที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนปรารถนามากกว่าสิ่งของนอกกาย และที่สำคัญอยากจะกลับบ้านไปกินสุกี้อาหารโปรด ที่ร้านชื่อดังแห่งหนึ่งในตัวเมืองตรัง ให้เต็มปากเต็มคำ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าที่ประเทศสิงคโปร์จะมีสุกี้ แต่ก็ไม่อร่อยและกินไม่อิ่มเหมือนกับร้านที่บ้าน ขณะเดียวกัน ยังขอฝากขอบคุณทุกกำลังที่มีมาให้ตนและครอบครัวโดยตลอด

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายเอกรินทร์ นิลสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) พรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 28 ได้เดินทางไปเยี่ยมน้องธันย์ ที่โรงพยาบาลตานโต๊กเส็ง ประเทศสิงคโปร์ ด้วย ในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทของ นายกิจธเนศ สร้างความดีใจให้กับน้องธันย์ เป็นอย่างมาก โดยทั้งคู่ยังได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนเรื่องการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ด้วย