ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - บรรยากาศของผู้เสียชีวิตจากเหตุลอบวางระเบิดชาวบ้านสะบ้าย้อย ซึ่งเดินทางไปล่าหมูป่าใน จ.ยะลา เป็นไปอย่างเศร้าสร้อย เนื่องจากผู้ที่เสียชีวิตล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัวที่เคยอยู่อย่างอบอุ่น ซึ่งภรรยาต่างไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
วันนี้ (26 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านเลขที่ 28 และ 48/1 ม.5 บ้านไร่ ต.สะบ้าย้อย อ.สะบาย้อย จ.สงขลา ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงเรียนบ้านไร่ ซึ่งเป็นบ้านพักของนายเขียว ศรีทวีป อายุ 57 ปี และนายดำรง แซ่ลิ่ม อายุ 49 ปี 2 ในจำนวน 9 คนที่เสียชีวิตจากเหตุกลุ่มก่อความไม่สงบลอบวางระเบิดในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อช่วงเย็นวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตรวม 9 ศพ และบาดเจ็บสาหัส 2 คน รถยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะ พังเสียหาย ขาดออกเป็นสองท่อนไม่ชิ้นดี
ทันทีที่ไปถึง ปรากฎว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงและคนรู้จักจำนวนมากแต่งกายด้วยชุดดำ ชุดขาว ทยอยเดินทางมาร่วมงาน พร้อมช่วยกันกางเต็นท์ จัดโต๊ะ ทำกับข้าว เพื่อเตรียมต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน ทันใดนั้นก็ได้มีนางประดับ ศรีทวีป ภรรยาของนายเขียว เดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าเศร้าโศก ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา โดยภายในบ้านเลขที่ 28 มีโลงศพบรรจุผู้เสียชีวิตตั้งอยู่ 2 โลง
นางประดับ กล่าวว่า หลังจากทราบข่าวว่าสามีเสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่ยะหาก็รู้สึกตกใจมาก เพราะที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับสามีตัวเอง และทุกครั้งที่สามีไปล่าหมูป่ากันก็ไม่เคยเกิดเหตุร้ายขึ้น เมื่อสูญเสียเสาหลักไปกะทันหัน ก็ทำให้ความเป็นอยู่ลำบากขึ้น จากที่เคยรับจ้างกรีดยางพารา จากนี้ไปก็คงไม่ได้ออกไปรับจ้างกรีดยางแล้ว เพราะต้องคอยดูแลหลาน
"ครอบครัวเราสูญเสียจำนวน 2 คน คือ นายเขียว ผู้เป็นสามี และนายดำรง แซ่ลิ่ม ซึ่งเป็นลูกเขย นอกจากนี้แล้วยังมีลูกเขยอีก 1 คนที่บาดเจ็บสาหัส คือ นายศักดิ์ชัย ศิริพันธุ์ อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นครู กศน.อยู่ในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา ล่าสุดสามารถพูดคุยทางโทรศัพท์ได้บ้างแล้ว” นางประดับกล่าวต่อและว่า
โดยก่อนเกิดเหตุสามีและนายดำรง ลูกเขย ไม่อยากจะไป แต่กลุ่มเพื่อนๆที่เคยไปด้วยกันมาหลายครั้งแล้วมาชักชวนถึงบ้าน จึงยินยอมไปด้วย ออกจากบ้านพักไปประมาณ 11 โมงเช้า ซึ่งจากบ้านไปยังพื้นที่เกิดเหตุระยะทางไม่ไกลมากนัก ประมาณ 30-40 ก.ม.เท่านั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่รอยต่อ อ.ยะหา ขับรถยนต์ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงพื้นที่ที่จะล่าหมูป่าแล้ว ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายอย่างนี้กับคนในครอบครัวเราถึง 3 คน เสียชีวิตไป 2 คน เจ็บสาหัส 1 คน จากนี้ไปคนข้างหลังที่เหลืออย่างพวกเราก็ต้องยืนอยู่ด้วยความเข้มแข็งให้ได้ และไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างนี้กับใครอีก
ห่างจากบ้านพักของนายเขียวและนายดำรง ประมาณ 200 เมตร พบว่ามีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเดินทางมาร่วมงานศพของนายเสนอ ยอสมเพชร อายุ 52 ปี ที่เป็นอีกศพหนึ่งจากเหตุการณ์เดียวกันนี้ ซึ่งตั้งศพอยู่ที่บ้านพักของผู้ตาย เลขที่ 36 ม.5 บ้านไร่ ต.สะบ้าย้อย ภายในงานเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจของญาติพี่น้องคนรู้จัก โดยนางละออ ยอสมเพชร ภรรยาของผู้ตาย และเป็นครูโรงเรียนบ้านไร่ ที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านพัก เปิดเผยด้วยดวงตาแดงก่ำว่า ตอนที่สามีออกจากบ้านไปนั้น ตนเองไม่ได้อยู่บ้าน เพราะต้องนำนักเรียนวงดุริยางค์ไปร่วมงานกีฬาของ อบต.บ้านโหนด
ก่อนที่สามีจะเสียชีวิต ได้โทรศัพท์มาบอกว่า อยู่บนควนมาล่าหมูป่า พร้อมถามกลับมาว่า กลับมาจากนำเด็กไปร่วมงานหรือยัง ซึ่งตนก็ได้ตอบกลับไปว่ากลับมาแล้ว สามีเล่าว่าเพื่อนๆมาชวนก็เลยไปด้วย
"ปกติที่เคยไปมาหลายครั้ง ก็ไม่เคยเกิดเหตุร้ายอะไร แต่ครั้งนี้กลับมาพรากสามีไป เราทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกัน 4 คน พ่อแม่และลูกสาวอีก 2 คน คนโตกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย 1 คน คนเล็กเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 สามีรักครอบครัวมาก รักลูกมาก ไม่ยอมปล่อยให้ลูกไปไหนตามลำพัง มักจะเดินทางไปส่งด้วยตัวเอง อย่างทุกวันศุกร์ก็จะไปรับลูกคนโตที่สงขลา และคนเล็กมารับที่หาดใหญ่ วันอาทิตย์ก็จะเดินทางกันทั้งครอบครัวมาส่งลูกทั้งสองคนเข้าหอพัก จากนี้ไปไม่มีสามีแล้ว เราก็ต้องไปรับส่งลูกเพียงลำพัง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยห่างกันเลย ไปไหนไปด้วยกัน" นางละออ กล่าวทั้งน้ำตา
เช่นเดียวกับครอบครัว "ชะนะบัญญัติ" ที่ต้องสูญเสียนายคนึง ชะนะบัญญัติ อายุ 56 ปี อดีตข้าราชการครูโรงเรียนบ้านสุโสะ ต.ธารคีรี อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ไปกับเหตุการณ์เลวร้ายนี้ด้วย โดยศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดตำแย ม.3 บ้านตำแย ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย ภายในวัดมีชาวบ้านที่ทราบข่าวในละแวกใกล้เคียงแต่กายด้วยชุดขาว-ดำมาร่วมงานต่อเนื่อง
นางฉลวย ชะนะบัญญัติ ภรรยาผู้ตาย กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าว่า ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสามีจะต้องมาจบชีวิตเร็วอย่างนี้และไม่คิดเลยว่าจะเกิดขึ้นกับสามี ทันทีที่ทราบข่าวก็ได้แต่ภาวนาว่า ขอให้สามีเรารอดตาย แต่ท้ายสุดแล้วไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับสามี สามีเสียชีวิตและจากพวกเราไป จากนี้ไปก็ต้องอยู่กันเท่าที่มีอยู่ โดยมีบุตรสาว 3 คน แต่งงานมีครอบครัวแล้ว 2 คน ส่วนคนสุดท้องเรียนใกล้จบแล้วและกำลังจะรับปริญญาบัตรในอีกไม่นาน พวกเราก็ต้องปรับเปลี่ยนการดำรงชีวิตใหม่บ้าง จากที่เคยมีอยู่กันครบ ไปไหนมาไหนส่วนใหญ่ก็จะไปด้วยกัน เพียงแต่ไปล่าหมูป่าเท่านั้นที่ตนเองไม่ได้ไป
"ที่ผ่านมา ก็เดินทางไปบ่อย และไม่เคยเกิดเหตุร้ายขึ้น ทำให้ทุกคนที่ไปไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุขึ้นกับพวกเขา วันเกิดเหตุหลังจากสามีกรีดยางพาราเสร็จ ก็มานั่งดูโทรทัศน์ ไม่นานนักก็มีเพื่อนในกลุ่มมาชวน ก็เลยเดินทางไปด้วยกัน กระทั่งมาเกิดเหตุร้ายนี้ดังกล่าวขึ้น" นางฉลวย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามญาติๆของผู้เสียชีวิตและคนรู้จักในละแวกใกล้บ้านผู้เสียชีวิตที่รับทราบเรื่องการออกล่าหมูป่าของผู้เสียชีวิตชุดนี้ ได้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาคนกลุ่มมักจะเดินทางกันไปกว่า 10 คน บางครั้งเกือบ 20 คน รถยนต์กระบะ 2 คัน แต่ครั้งนี้ไปด้วยกัน 11 คน เสียชีวิต 9 คน เจ็บสาหัส 2 คน เดิมทีจะเดินทางไป 12 คน แต่บังเอิญว่ารายที่ไม่ได้ไป ติดภารกิจส่วนตัว เมื่อทำภารกิจเสร็จแล้ว ก็ได้ตามมาเพื่อจะเดินทางไปด้วย แต่ปรากฎว่ากลุ่มเพื่อนๆได้ออกเดินทางไปแล้ว จึงรอดชีวิตได้
สำหรับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวน 9 ศพ บาดเจ็บสาหัส 2 คน ประกอบด้วย พื้นที่บ้านไร่ ต.สะบ้าย้อย เสียชีวิตจำนวน 7 ศพ ญาตินำศพกลับไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี 1 ศพ เหลือ 6 ศพที่ตั้งศพในพื้นที่บ้านไร่ และยังมีบาดเจ็บสาหัสด้วยอีก 1 คน พื้นที่บ้านโมง ต.สะบ้าย้อย เสียชีวิต 1 คน พื้นที่บ้านตำแย ต.เปียน เสียชีวิต 1 คน เจ็บสาหัส 1 คน ทำให้ภาพที่ผู้สื่อข่าวเดินทางลงพื้นที่วันนี้ พบว่าชาวบ้านต่างพากันตระเวนไปร่วมงานศพของผู้เสียชีวิตแต่ละราย เพราะส่วนใหญ่ในพื้นที่จะรู้จักมักคุ้นกัน