ตรัง - ประธานหอการค้า จ.ตรัง เชื่อภาคการเกษตรทั้งยางพารา และปาล์มน้ำมัน จะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยฉุดภาวะเศรษฐกิจโดยรวมให้ดีขึ้นตลอดปี 2554
วันนี้ (26 ม.ค.) นายสลิล โตทับเที่ยง ประธานหอการค้า จ.ตรัง เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมด้านเศรษฐกิจของ จ.ตรัง ในช่วงปี 2553 ที่ผ่านมาทุกด้านมีการเติบโตขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตร ทั้งยางพารา และปาล์มน้ำมันซึ่งที่มีราคาสูงขึ้นมาก ถือเป็นอานิสงค์ดีต่อเกษตรกร และยังส่งผลไปถึงภาคธุรกิจอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้านจัดสรร อาคารพาณิชย์ ภาคการพาณิชย์ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของทาง จ.ตรัง ที่ผลักดันให้ศูนย์กลางของงานประชุมสัมมนา และการร่วมกันทำกิจกรรมในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
เพื่อดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยและเกิดเงินสะพัด เพียงแต่มาเกิดปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติ เช่น กระแสข่าวลือเรื่องคลื่นยักษ์สึนามิ และการที่มีฝนตกลงมาต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2553 ทำให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวไทย ซึ่งมีความเชื่อในเรื่องเช่นนี้มาก ได้ยกเลิกหรือเลื่อนการจองทัวร์ออกไป แต่ยังคาดการณ์ว่าในเร็วๆ นี้สถานการณ์น่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น
ส่วนภาพรวมด้านเศรษฐกิจของ จ.ตรัง ในช่วงปี 2554 ของภาคการเกษตร โดยเฉพาะยางพารา ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง เพราะได้ทำให้การส่งออกสินค้าประเภทยางพารา ในช่วงปี 2553 เติบโตสูงขึ้นมากกว่าปี 2552 อย่างเห็นได้ชัด แต่ส่วนหนึ่งที่มีผลกระทบตามมาก็คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งทำให้มูลค่าหรือเม็ดเงินที่ได้รับจากการส่งออกสินค้าประเภทยางพาราลดลง ผู้ประกอบการจึงได้รับความเดือดร้อน รวมถึงภาคธุรกิจที่ต่อเนื่องจากยางพารา เช่น ไม้ยางพารา ที่มีราคาขยับตัวสูงขึ้นมาก
เนื่องจากพื้นที่การเกษตรในภาคใต้เสียหายจากน้ำท่วม และพายุ ทำให้ได้รับผลกระทบมากพอสมควร รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาแรงงานที่ขาดแคลนอย่างมาก อันเป็นผลมาจากการที่มีแรงงานเคลื่อนย้ายไปสู่ภาคการเกษตร เนื่องจากราคายางพาราที่ขยับตัวสูงขึ้นเป็นตัวล่อใจ ทำให้ภาคธุรกิจต่างๆ ต้องเร่งหาทางแก้ไขปัญหานี้เป็นการเร่งด่วน เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการประกอบการในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปี 2554 ยางพารายังคงเป็นสินค้าที่สำคัญ ที่จะช่วยให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของ จ.ตรัง และของภาคใต้ต่อเนื่องไปจากปี 2553 โดยคาดว่าราคาจะยังคงยืนอยู่ไม่กว่ากิโลกรัมละ 100 บาท อีกทั้งความต้องการในต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน ประเทศอินเดีย ยังคงมีสูง ขณะที่ปาล์มน้ำมันก็มีราคาสูงมากกิโลกรัมละเกือบ 10 บาท นับตั้งแต่ปี 2553 แม้ว่าภาครัฐอาจจะเข้ามาแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์ม เพื่อพยุงมิให้ราคาน้ำมันปาล์มชนิดบรรจุถุงมีราคาสูง
แต่ก็คงทำให้ราคาปาล์มน้ำมันลดลงไปบ้างเล็กน้อย จึงถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่น่าจับตามองตลอดทั้งปี 2554 ต่อไปเช่นกัน ส่วนภาคการพาณิชย์ และภาคธุรกิจต่างๆ เชื่อว่ายังคงมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องจากปี 2553 เพียงแต่จะต้องจับตามองในส่วนของค่าเงินบาทที่แข็งค่า เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก หรือภาวะเงินเฟ้อ แต่ก็ยังเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) จะสามารถเข้ามาแก้ปัญหามิให้รุนแรงไปมากกว่านี้