นครศรีธรรมราช - กระแสการต่อต้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินในพื้นที่ อ.หัวไทร ยังมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันกระแสต่อต้านก่อสร้างโรงไฟฟ้าฯ กลายเป็นนโยบายที่สำคัญของการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน โดย 1 ใน 3 ผู้ลงสมัครเลือกตั้งรณรงค์หาเสียงกับชาวบ้านประกาศนโยบาย “ต่อต้านโรงไฟฟ้าสุดชีวิต” จนสามารถชนะคู่แข่งไปอย่างขาดลอย
วันนี้ (11 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระแสของการต่อต้าน โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ยังคงมีกระแสของการต่อต้านเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งมีการจัดกิจกรรมขึ้นหลายจุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงการคัดค้านถึงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินในพื้นที่ เนื่องจากเกรงผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน และรวมไปถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังคงไม่มีความชัดเจนมากนัก
ในพื้นที่ที่มีเพียงกระบวนการความเคลื่อนไหวของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ที่เข้ามาเคลื่อนไหวในด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่กิจกรรมการสนับสนุนงบประมาณ การแจกจ่ายสิ่งของ และการจัดคณะทัวร์ไปศึกษาดูงานในต่างจังหวัดและต่างประเทศ
ในขณะเดียวกันกระแสของการต่อต้านโรงไฟฟ้า ยังกลายเป็นนโยบายที่สำคัญของการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ซึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาการสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช มีผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งถึง 3 ราย แต่มี 1ใน 3 ราย คือนายสมิง พิพัฒนานนท์ รณรงค์หาเสียงกับชาวบ้านมีการประกาศนโยบายในการทำงานเพียงนโยบายเดียว คือ “ต่อต้านโรงไฟฟ้าสุดชีวิต” สามารถชนะคู่แข่งไปอย่างขาดลอย แม้ว่าจะไม่เคยลงเล่นการเมืองหรือการสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งใดๆมาก่อน
นายสมิง พิพัฒนานนท์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการเตรียมการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากหลายแง่มุมในสังคมไม่มีความเป็นธรรมเกิดขึ้น จึงเห็นว่าถ้าไม่สู้ ชาวบ้านธรรมดาๆ จะยิ่งถูกกดขี่หนักมากขึ้น การละเมิดสิทธิชาวบ้านเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย โดยไม่คำนึงในสิทธิชาวบ้านที่มีอยู่ จึงตัดสินใจลงเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านโดยมีจุดยืนแ ละนโยบายเพียงนโยบายเดียว คือ การคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินในพื้นที่จนสุดชีวิต จนได้รับเลือกตั้ง
“ผลการเลือกตั้งมาจากผู้มีสิทธิ 733 คน ผมได้คะแนนลำดับที่ 1 คือ 421 คะแนน ลำดับที่ 2 ได้ 220 คะแนน และลำดับสุดท้ายได้ 3 คะแนน คะแนนที่ผมได้รับคือฉันทามติจากชาวบ้านส่วนใหญ่ในพื้นที่ที่เห็นพ้องกับผม คือการต่อต้านโรงไฟฟ้าเช่นเดียวกัน เพราะผมมีนโยบายเดียวคือต้านโรงไฟฟ้า แม้ว่า กฟผ.จะเดินแผนในการสร้างปูพรมด้วยการแจกสารพัดก็ตาม ทั้งแจกแบบตัวบุคคล แจกโรงเรียน วัด สถานที่ต่างๆ แม้กระทั่งพาคนไปเที่ยวอ้างว่าไปดูงาน ล่าสุดไปสนับสนุนงบประมาณให้โรงพยาบาล 3.5 แสน
ผมขอถามว่าเมื่อก่อนชาวบ้านเดือดร้อนแสนสาหัส และไม่มีโครงการโรงไฟฟ้า กฟผ.อยู่ไหนไม่เคยมาช่วย แต่เมื่อจะมาสร้างโรงไฟฟ้ากลับแจกหาเสียงเดินหน้าไม่หยุดหย่อน แม้จะแจกเช่นนี้แต่ผมมั่นใจว่าชาวบ้านหน้าสตนไม่ยอมให้ กฟผ.สร้างโรงไฟฟ้าอย่างแน่นอน” ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 กล่าว
นายสมิง พัฒนานนท์ ผู้ใหญ่บ้านม.2 หน้าสตน กล่าวต่อว่าหลังจากนี้จะมีการเคลื่อนไหวเต็มรูปแบบ กิจกรรมต่อไปคือการรวมคนที่ต้านโรงไฟฟ้าใน อ.หัวไทร ขณะนี้มีการแสดงตัวแล้วกว่า 2 พันคน ทั้งหมดจะร่วมเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เข้ายื่นหนังสือกับ ผศ.ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ อธิการบดี ในการประท้วงที่ปล่อยให้นักวิชาการบางคนในมหาวิทยาลัยมาเคลื่อนไหวในพื้นที่สนับสนุนโรงไฟฟ้า เห็นว่างบประมาณภาษีของประชาชนที่รัฐจัดสรรไปให้ไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน แต่ใช้ให้เกิดประโยชน์กับ กฟผ.มากกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแน่นอน ต้องย้อนไปดูคำขวัญที่ว่า “ประทีปถิ่นประเทืองไทย” ควรจะเป็นฝ่ายที่สนับสนุนประชาชนมากกว่า
วันนี้ (11 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระแสของการต่อต้าน โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ยังคงมีกระแสของการต่อต้านเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งมีการจัดกิจกรรมขึ้นหลายจุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงการคัดค้านถึงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินในพื้นที่ เนื่องจากเกรงผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน และรวมไปถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังคงไม่มีความชัดเจนมากนัก
ในพื้นที่ที่มีเพียงกระบวนการความเคลื่อนไหวของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ที่เข้ามาเคลื่อนไหวในด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่กิจกรรมการสนับสนุนงบประมาณ การแจกจ่ายสิ่งของ และการจัดคณะทัวร์ไปศึกษาดูงานในต่างจังหวัดและต่างประเทศ
ในขณะเดียวกันกระแสของการต่อต้านโรงไฟฟ้า ยังกลายเป็นนโยบายที่สำคัญของการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ซึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาการสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช มีผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งถึง 3 ราย แต่มี 1ใน 3 ราย คือนายสมิง พิพัฒนานนท์ รณรงค์หาเสียงกับชาวบ้านมีการประกาศนโยบายในการทำงานเพียงนโยบายเดียว คือ “ต่อต้านโรงไฟฟ้าสุดชีวิต” สามารถชนะคู่แข่งไปอย่างขาดลอย แม้ว่าจะไม่เคยลงเล่นการเมืองหรือการสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งใดๆมาก่อน
นายสมิง พิพัฒนานนท์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการเตรียมการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากหลายแง่มุมในสังคมไม่มีความเป็นธรรมเกิดขึ้น จึงเห็นว่าถ้าไม่สู้ ชาวบ้านธรรมดาๆ จะยิ่งถูกกดขี่หนักมากขึ้น การละเมิดสิทธิชาวบ้านเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย โดยไม่คำนึงในสิทธิชาวบ้านที่มีอยู่ จึงตัดสินใจลงเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านโดยมีจุดยืนแ ละนโยบายเพียงนโยบายเดียว คือ การคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินในพื้นที่จนสุดชีวิต จนได้รับเลือกตั้ง
“ผลการเลือกตั้งมาจากผู้มีสิทธิ 733 คน ผมได้คะแนนลำดับที่ 1 คือ 421 คะแนน ลำดับที่ 2 ได้ 220 คะแนน และลำดับสุดท้ายได้ 3 คะแนน คะแนนที่ผมได้รับคือฉันทามติจากชาวบ้านส่วนใหญ่ในพื้นที่ที่เห็นพ้องกับผม คือการต่อต้านโรงไฟฟ้าเช่นเดียวกัน เพราะผมมีนโยบายเดียวคือต้านโรงไฟฟ้า แม้ว่า กฟผ.จะเดินแผนในการสร้างปูพรมด้วยการแจกสารพัดก็ตาม ทั้งแจกแบบตัวบุคคล แจกโรงเรียน วัด สถานที่ต่างๆ แม้กระทั่งพาคนไปเที่ยวอ้างว่าไปดูงาน ล่าสุดไปสนับสนุนงบประมาณให้โรงพยาบาล 3.5 แสน
ผมขอถามว่าเมื่อก่อนชาวบ้านเดือดร้อนแสนสาหัส และไม่มีโครงการโรงไฟฟ้า กฟผ.อยู่ไหนไม่เคยมาช่วย แต่เมื่อจะมาสร้างโรงไฟฟ้ากลับแจกหาเสียงเดินหน้าไม่หยุดหย่อน แม้จะแจกเช่นนี้แต่ผมมั่นใจว่าชาวบ้านหน้าสตนไม่ยอมให้ กฟผ.สร้างโรงไฟฟ้าอย่างแน่นอน” ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 กล่าว
นายสมิง พัฒนานนท์ ผู้ใหญ่บ้านม.2 หน้าสตน กล่าวต่อว่าหลังจากนี้จะมีการเคลื่อนไหวเต็มรูปแบบ กิจกรรมต่อไปคือการรวมคนที่ต้านโรงไฟฟ้าใน อ.หัวไทร ขณะนี้มีการแสดงตัวแล้วกว่า 2 พันคน ทั้งหมดจะร่วมเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เข้ายื่นหนังสือกับ ผศ.ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ อธิการบดี ในการประท้วงที่ปล่อยให้นักวิชาการบางคนในมหาวิทยาลัยมาเคลื่อนไหวในพื้นที่สนับสนุนโรงไฟฟ้า เห็นว่างบประมาณภาษีของประชาชนที่รัฐจัดสรรไปให้ไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน แต่ใช้ให้เกิดประโยชน์กับ กฟผ.มากกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแน่นอน ต้องย้อนไปดูคำขวัญที่ว่า “ประทีปถิ่นประเทืองไทย” ควรจะเป็นฝ่ายที่สนับสนุนประชาชนมากกว่า
