นครศรีธรรมราช – ชาวบ้านไร่ยาวพังงากว่า 50 คน หมดทนทางพึ่งจนท.รัฐในท้องถิ่น บุกร้องศาลปกครองนครศรีฯ เพิกถอน นส.3 ก.นายทุน หลังบุกป่าชายเลนสาธารณะ
วันนี้ (25 ก.พ.53) ที่ศาลปกครองนครศรีธรรมราช อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ชาวบ้านจากชุมชนบ้านในไร่ ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา กว่า 60 คน นำโดย นายบัณฑิต หลีบำรุง กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรชุมชนบ้านในไร่ พร้อมด้วยทนายความ เข้ายื่นฟ้องต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราช โดยมีผู้ถูกฟ้องคดีคือ เจ้าพนักงานที่ดิน อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ที่ 1 และ กรมที่ดิน ที่ 2
สืบเนื่องจากพื้นที่ป่าชายเลนของชุมชนบ้านในไร่ ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ที่ประชาชนดูแล บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์ร่วมกันมายาวนาน จำนวนกว่า 59 ไร่ ถูกเอกชนอ้างเอกสารสิทธิ (นส.3 ก.) เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ โดยทำการไถและนำดินเข้ามาถมพื้นที่บริเวณที่เป็นป่าชายเลนทั้งหมดจนได้รับความเสียหาย
ป่าชายเลนผืนนี้อยู่คู่กับชุมชนบ้านในไร่มายาวนาน ชาวบ้านในชุมชนได้ดูแล บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นทั้งแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำทางทะเลที่สำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ทางทะเล นอกจากนี้ ตอนเกิดภัยพิบัติสึนามินั้นบ้านเรือนในชุมชนไม่ได้รับความเสียหายก็เพราะมีป่าชายเลนเป็นแนวกันคลื่นไว้
หลังจากที่เอกชนได้เข้าตัดฟันและถมพื้นที่ป่าชายเลน เมื่อถึงเวลาหน้ามรสุมบ้านเรือนที่ตั้งบริเวณใกล้ชายฝั่งทะเลกลับได้รับความเสียหาย จะเห็นได้ว่าป่าชายเลนมีความสำคัญกับวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง
นายบัณฑิต หลีบำรุง ระบุว่า ที่ผ่านมาก่อนมีการถมพื้นที่ป่าชายเลนดังกล่าวชาวชุมชนได้คัดค้านการถมพื้นที่ป่าชายเลนดังกล่าวตลอดมา เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมาประชาชนในชุมชนได้พยายามอย่างเต็มที่ในการร้องเรียน เพื่อบอกกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไล่ตั้งแต่ระดับอำเภอไปจนถึงนายกรัฐมนตรีให้เข้ามาแก้ไขปัญหาและตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวว่าออกโดยชอบหรือไม่ แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดๆเข้ามาดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาปัญหาดังกล่าว
“เมื่อชุมชนไม่อาจพึ่งพาผู้มีอำนาจของรัฐในการแก้ปัญหา ทางออกคือการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ชาวบ้านในไร่จึงรวมตัวกันเพื่อรวบรวบข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ สำหรับยื่นฟ้องต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราช เพื่อขอให้ศาลสั่งให้กรมที่ดินเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก) ซึ่งออกทับที่ป่าชายเลนและฟื้นฟูป่าชายเลนที่ถูกทำลายให้กลับสู่สภาพเดิม โดยในการฟ้องร้องในครั้งนี้ชาวบ้านได้มีมติร่วมกันว่า
“เมื่อรัฐไม่อาจรักษาป่าชายเลนอันเป็นทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนไว้ได้ ชุมชนจำต้องทำหน้าที่ทวงคืนป่าชายเลนเพื่อฟื้นฟูและปกป้องรักษาให้กลับมาเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชุมชนเพื่อประโยชน์ของรัฐและชุมชนสืบไป และที่สำคัญต้องไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง”
ชาวชุมชนบ้านในไร่ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ป่าชายเลนถูกทำลายกว่า 50 คน ได้ร่วมแรงร่วมใจกันเดินทางไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก)ที่ออกทับที่สาธารณประโยชน์ ให้กลับมาเป็นป่าชายเลนที่ชุมชนจะได้ร่วมกันฟื้นฟูบำรุงรักษา และใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไปนายบัณฑิตระบุ
