พัทลุง – กองทัพภาค ที่ 4 ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ บูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายป่าของชาวบ้านและกลุ่มนายทุน ที่ถือผิดกฎหมาย ส่วนชาวบ้านระบุก่อนที่จะทำลายทรัพย์สินของชาวบ้านควรที่จะตรวจก่อน ไม่ใช่ทำลายตามอำเภอใจ และใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานในการดำเนินการ
วันนี้ ( 27 ต.ค. ) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพัทลุงว่า ที่สำนักงานอุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า อ.รีบรรพต จ.พัทลุง พล.ต.สกล ชื่นตระกุล เสนาธิการกองทัพภาค ที่ 4 พร้อมคณะเดินทางร่วมประชุมกับอุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า เพื่อร่วมแก้ปัญหาการบุกตัดไม้ทำลายป่า และการแผ้วถางยึดครองของชาวบ้าน
นายสมชัย แสงแก้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า กล่าวว่า อุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า มีพื้นที่คลุมจังหวัดพัทลุง ตรังที่รับผิดชอบครอบปัญหาของการบุกรุกและ นครศรีธรรมราช มีพื้นที่ 4 แสนกว่าไร่ โดยในแต่ละปีพบพื้นที่มีการบุกรุก แผ้วถางจับจองพื้นที่ทำการเกษตร ยางพารา ปาล์ม ปลูกของชาวบ้าน รวม 3 จังหวัดไม่ต่ำกว่า 2,500 ไร และมีการจับกุมดำเนินคดีกับผู้บุกรุกอย่างต่อเนื่อง
พร้อมตรวจยึดแปลงทำลายอาสิน เพื่อปลูกป่าตลอด แต่การดำเนินการทำงานของเจ้าหน้าที่ยังไม่ทั่วถึง เนื่อง ขาดวัสดุอุปกรณ์ในการปฎิบัติงาน และนโยบายของรัฐบาล ที่ยังไม่ชัดเจน ต่อปัญหาการบุกรุก โดยพบว่า ผู้บุกรุกบางรายยังคงกระทำผิดต่อเนื่อง โดยเฉพาะแปลงที่ตรวจยึดไปแล้ว แต่กลับมีชาวบ้านกลับมาปลูกยางพาราใหม่ ซึ่งยากต่อการดูแล
พล.ต.สกล ชื่นตระกุล เสนาธิการกองทัพภาค ที่ 4 ทางกองทัพบกจะบูรณาการร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายป่าของชาวบ้านและกลุ่มนายทุน ที่ถือว่าผิดกฎหมายความมั่นคงของชาติ เพื่อที่จะรักษาพื้นที่ป่าทั่วประเทศเอาไว้ แต่จะไม่ให้กระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่
หลังจากนั้น เสนาธิการกองทัพภาค 4 พร้อม คณะและเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า ได้นั่งเครื่องบิน สำรวจพื้นที่ป่าที่ถูกทำลาย โดยไม่ยอมให้ทีมผู้ข่าวในพื้นที่ ขึ้นสำรวจด้วย โดยอ้างว่า ทางอุทยานไม่พร้อม และไม่อนุญาตให้เก็บภาพ เพราะที่ผ่านมา สื่อนำเสนอภาพในเชิงลบและมีอคติกับอุทยานตลอด
ทางด้านนางกำจาย ชัยทอง ชาวบ้านคอกเสือ หมู่ที่ 8 ต.บ้านนา อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ชาวบ้านที่ถูกอุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า ฟ้องปัญหาโลกร้อนถูกปรับให้ไปชดใช้ค่าเสียหายเป็นหนี้รวมดอกเบี้ย 1,672,740.07 บาท กล่าวว่า การดำเนินการของอุทยานก่อนที่จะทำลายทรัพย์สินของชาวบ้านควรที่จะตรวจก่อน ไม่ใช่ทำลายตามอำเภอใจ และใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานในการดำเนินการ โดยหากเป็นของญาติเจ้าหน้าที่ในอุทยานไม่รื้อถอนเพิกเฉย และรายใดยอมจ่ายเงิน ก็ทำไม่รู้ไม่เห็น แต่หากเป็นของชาวบ้านจนๆ แล้วทั้งจับทั้งปรับ จนไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้
