ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - รถไฟสายใต้ทุกขบวนยังคงวิ่งได้แค่สถานีหาดใหญ่ สายยาวเปิดเดินรถทุกบวนส่วนรถท้องถิ่นจากหาดใหญ่เริ่มเปิดให้บริการวันแรก สหภาพฯรถไฟพร้อมเจรจาและออกแถลงการณ์ประกาศจุดยืน ด้านผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนไม่เห็นด้วยที่รถไฟหยุดวิ่ง
สถานการณ์การเดินรถไฟสายใต้ในวันนี้ (25 ต.ค.) แม้ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยจะประกาศเปิดเดินรถไฟสายใต้ทุกขบวนทั้งสายยาวและรถท้องถิ่นตั้งแต่วันนี้ (25 ต.ค.) แต่ล่าสุดรถไฟสายใต้ทุกขบวนยังคงเดินรถได้แค่สถานีรถไฟหาดใหญ่เท่านั้นส่วนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเป็นอัมพาตไม่มีการเปิดเดินรถแม้แต่ขบวนเดียว
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้รถไฟสายยาวเส้นทางหาดใหญ่-กรุงเทพฯ ทั้งขาขึ้นและขาล่องเปิดให้บริการเต็มระบบทุกขบวนเป็นวันแรก ขณะที่รถขบวนท้องถิ่นจากสถานีหาดใหญ่ก็เริ่มเปิดเดินรถแล้ว 4 ขบวนแต่เป็นเส้นทางเฉพาะภาคใต้ตอนบนเช่นจากหาดใหญ่ ไปพัทลุง นครศรีธรรม สุราษฎร์ธานีและชุมพร แต่ผู้โดยสารยังค่อนข้างบางตาเพราะเพิ่งเดินรถเป็นวันแรก
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทยหลังจากที่การเจรจากับตัวแทนฝ่ายบริหารการรถไฟเมื่อวานนี้ล้มเหลว นายวิรุฬห์ สะแกคุ้ม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทยสาขาหาดใหญ่ กล่าวว่า ทางสหภาพฯรถไฟหาดใหญ่ยังพร้อมที่จะเปิดเจรจาแต่ผู้บริหารการรถไฟจะต้องมีหนังสือแต่งตั้งตัวแทนที่มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจมาเจรจา ซึ่งประเด็นหลักมี 3 เรื่องคือเรื่องของหัวรถจักรในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องไม่เอาผิดกับพนักงานทั้งทางวินัย ทางแพ่งและทางอาญา กรณีที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่เพราะพนักงานทุกคนปฏิบัติตามระเบียบและข้อกำหนดของการเดินรถทุกอย่าง ที่สำคัญผู้บริหารจะต้องไม่กลั่นแกล้งหรือออกคำสั่งที่เป็นการกดดันพนักงาน
นายวิรุฬห์กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ยังไม่สามารถเปิดเดินรถไฟในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้นั้น เนื่องจากพนักงานเดินรถจักรกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ยังไม่พร้อมปฏิบัติหน้าที่และได้ขอใช้สิทธิของตัวเองในข้อตกลงเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัยที่ยังไม่ได้รับการดูแลและแก้ไขปัญหาของผู้บริหารการรถไฟ แม้ก่อนหน้านี้จะมีการทำบันทึกข้อตกลงอย่างชัดเจนแต่กลับไม่ได้รับการตอบสนอง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนพร้อมที่จะเดินรถแม้ว่าหัวรถจักรหุ้มเกราะจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แค่ 5 คันจากรถหุ้มเกราะทั้งหมด 13 คันซึ่งเป็นข้อตกลงที่ได้เสนอในที่ประชุมเมื่อวานนี้แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
และในวันนี้ทางสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทยสาขาหาดใหญ่ยังได้ออกแถลงการณ์จะขอยืนหยัดต่อสู้เพื่อความปลอดภัยในการเดินรถและความเป็นธรรมแม้ว่าที่ผ่านมาทางฝ่ายบริหารจะพยายามเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จผ่านสื่อมวลชนทั้งการหยุดเดินรถ ยึดหัวรถจักรและใช้ความรุนแรงทำให้สหภาพรถไฟตกเป็นจำเลยของสังคมทั้งที่การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ทำให้มีการซ่อมบำรุงรถจักรอย่างจริงจังทำให้ประชาชนปลอดภัยมากขึ้นและการบรรจุของนักเรียนวิศวกรรมรถไฟจากการนำเสนอปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังคน และสหภาพหาดใหญ่พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งการเจรจากับทุกฝ่ายแต่กลับไม่ได้รับความจริงใจจากฝ่ายบริหาร และการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีผลประโยชน์การเมืองมาแอบแฝง
ด้าน นายทนงศักดิ์ พงษ์ประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์ภาคใต้การรถไฟแห่งประเทศไทยเผยว่า จะเร่งเจรจากับทางแกนนำสหภาพฯรถไฟเพื่อให้สามารถเปิดเดินรถโดยเร็วที่สุดโดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เนื่องจากขณะนี้หัวรถจักรหุ้มเกราะได้รับการซ่อมอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนเนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ซึ่งชาวไทยมุสลิมจะเดินทางด้วยรถไฟมาส่งญาติพี่น้องที่ไปแสวงบุญ
อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากการหยุดเดินรถไฟสายใต้ซึ่งย่างเข้าสู่วันที่ 10 ประชาชนเริ่มไม่พอใจมากขึ้นและเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทั้งรัฐบาล การรถไฟ และสหภาพฯ ลงมาแก้ปัญหาโดยเร็วเพราะเดือดร้อนอย่างหนัก
ในขณะที่ หาดใหญ่โพล โดยสำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดสงขลา เกี่ยวกับการหยุดเดินรถไฟของสหภาพการรถไฟแห่งประเทศไทย พบว่าละ 54.8 ไม่เห็นด้วยกับการหยุดเดินรถไฟของสหภาพฯ โดยมีข้อเรียกร้องเรื่อง ความปลอดภัยของประชาชน มีเพียงร้อยละ 38.1 ที่เห็นด้วยกับสหภาพในการหยุดเดินรถไฟ และร้อยละ 7.1 ไม่แสดงความคิดเห็น ร้อยละ 39.2 เชื่อว่าการหยุดเดินรถไฟมีวัตถุประสงค์เพื่อ ความปลอดภัยของประชาชน มากที่สุด ต้องการเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการ คิดเป็นร้อยละ 29.1 และ 28.9 ตามลำดับ
ส่วนความคิดเห็นเกี่ยวกับการยุติปัญหาการหยุดเดินรถไฟ พบว่า ประชาชนร้อยละ 33.4 ควรมีการเปิดโต๊ะเจรจาหาข้อยุติร่วมกัน มากที่สุด รองลงมา ให้มีการเอาผิดทางวินัยกับพนักงานขับรถไฟ และมีการปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย คิดเป็นร้อยละ 29.6 และ 19.9 ตามลำดับ ขณะที่ร้อยละ 66.0 เห็นควรให้ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย แสดงความรับผิดชอบในกรณีอุบัติเหตุเขาเต่า มีเพียงร้อยละ 24.6 ไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบในกรณีอุบัติเหตุเขาเต่า และร้อยละ 9.4