นครศรีธรรมราช – สาวแม่ลูกอ่อนวอนขอความช่วยเหลือ หลังป่วยเป็นโรคกระดูกไขสันหลังฝ่อ ต้องปลูกมีการปลูกถ่ายไขสันหลังกระดูกใหม่ แต่ต้องใช้เงินจำนวนมาก
วันนี้ (9 ก.ค.) นายอนุชิต พรหมจันทร์ ส.จ.เขต อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เดินทางเข้าพบผู้สื่อข่าวเพื่อขอความช่วยเหลือกรณีนางสุภัทรา ดำจันทร์ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17/9 หมู่ 10 ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ที่ล้มป่วยด้วยโรคกระดูกไขสันหลังฝ่อ ซึ่งต้องใช้เงินในการรักษาจำนวนมาก แต่เนื่องจากฐานะของนางสุภัทรา ยากจนไม่มีเงินรักษาตัว โดยในขณะนี้นางสุภัทรา ผู้ป่วยรายดังกล่าวถูกนำส่ง รพ.มหาราช จ.นครศรีธรรมราช และพักรักษาตัวอยู่ที่ตึกอายุรกรรม 3
ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบพบนางสุภัทรา ผู้ป่วยรายดังกล่าวนอนอยู่บนเตียงคนไข้ในลักษณะอิดโรย หน้าตาซีดเซียว พร้อมเปิดเผยว่า ตนประกอบอาชีพรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า ได้แต่งงานอยู่กินกับ นายสำเริง ไพมุณี ซึ่งมีอาชีพก่อสร้าง จนเมื่อตนตั้งท้องได้ 5 เดือน จึงพบว่า มีอาการผิดปกติ โดยมักจะมีเลือดออกทางปาก ปัสสาวะเป็นเลือดบ่อยๆ และร่างกายซีดขาว ง่วงซึม จนถึงขั้นวูบหลับไปเฉยๆ บ่อยครั้ง จึงไปให้แพทย์ รพ.มหาราชตรวจรักษา แพทย์ระบุว่าตนเป็นโรคกระดูกไขสันหลังฝ่อ ซึ่งเป็นโรคร้ายแรง จะต้องเข้ารับการดูแลรักษาจากแพทย์เฉพาะทางอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญ การรักษาโรคนี้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก โดยต้องให้เกล็ดเลือดทุกเดือน เพื่อรักษาชีวิตในเบื้องต้น แต่หากจะรักษาให้ขาดต้องมีการปลูกถ่ายไขสันหลังกระดูกใหม่ แต่ต้องใช้เงินจำนวนมาก
หลังจากนั้น ทาง รพ.มหาราช ได้ส่งตัวไปรักษาที่ รพ.สงขลานครินทร์ (มอ.) จนกระทั่งตนคลอดบุตรอย่างปลอดภัยเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2552 ที่ผ่านมา ซึ่งการที่ต้องนอนรักษาตัวที่ รพ.มอ.นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัว และค่ารักษา ในที่สุดจึงขอกลับมาอยู่บ้าน จนพบว่าอาการหนักมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจะมีอาการซีดและเชื่องซึม ตามตัว ขา ก็มักจะขึ้นผื่น และเป็นจั้มตามตัวตลอดเวลา จะติดเชื้อง่าย มีอาการป่วยไข้อยู่เป็นประจำ และมีเลือดออกทุกทาง
โดยหลายครั้งที่ตัวเองง่วงซึม วูบหลับไปแทบไม่ได้สติ ซึ่งตนทราบข่าวว่าคนที่เป็นโรคนี้ ทางแพทย์ผู้รักษาบอกให้ทางครอบครัวทำใจ เพราะผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตได้ตลอดเวลา โดยหากจะรักษาให้หายต้องมีการปลูกถ่ายไขกระดูกสันหลังใหม่แต่คงต้องใช้เงินมาก และต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพ แต่เนื่องจากครอบครัวยากจนไม่มีเงินเพียงพอ จึงต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.มหาราช เป็นครั้งที่ 2 โดยแพทย์แค่ให้ยาประคับประคองอาการเอาไว้เท่านั้น
นางสุภัทรา กล่าวอีกว่า ในขณะที่ตนนอนพักรักษาตัวที่ รพ.มหาราช สามีและญาติๆ ต้องช่วยกันเลี้ยงดูบุตรที่เพิ่งคลอดไม่ถึงเดือน และตนไม่สามารถให้นมแก่บุตรได้ จึงอยากวิงวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ใจบุญช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวด้วย นางสุภัทรา กล่าวในที่สุด