ตรัง – พ่อของนักเรียนโรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง เข้าร้องเรียนสื่อมวลชน หลังพบว่าพนักงานธนาคารกรุงเทพ สะเพร่าโอนเงินผิดบัญชีไปยังบริษัทจำหน่ายรถยนต์มือสองแห่งหนึ่ง ทั้งที่ตั้งใจจ่ายค่าสมัครสอบ O-NET และ A-NET เพราะกำลังคุยโทรศัพท์มือถือ ทำให้พลาดการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่สอบได้
วันนี้ (12 พ.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่ห้องสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดตรัง ศาลากลางจังหวัดตรัง นายมานิตย์ จันดี อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 74 หมู่ที่ 1 ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นผู้ปกครองของ นายจักรพงษ์ จันดี อายุ 19 ปี นักเรียนโรงเรียนบูรณะรำลึก จังหวัดตรัง นักเรียนที่สามารถสอบ O-NET และสอบ A-NET ผ่านตามกระบวนการจนกระทั่งเป็นผู้ที่มีสิทธิ์สมัครคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ตามความรู้ความสามารถที่ตนเองต้องการได้ หรือการสมัครคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในระบบกลาง หรือการสอบ Admition ที่มีการประกาศผลสอบไปเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนเพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่ลูกชาย
นายมานิตย์ กล่าวว่า จากการประกาศผลสอบแอดมิชชันในวันดังกล่าว ปรากฏว่า ไม่มีรายชื่อของลูกชายเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยทั้ง 4 สถาบัน ที่ได้มีการคัดเลือกไปก่อนหน้านี้ คือ อันดับ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี กับสาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ อันดับ 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า กับสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหกรรม อันดับ 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สาขาวิชาวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ และอันดับ 4 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบผลการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง ปรากฏว่า เกิดความผิดพลาดในขั้นตอนการชำระเงินค่าสมัครของทางธนาคารกรุงเทพ สาขาห้วยยอด จังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2552 เนื่องจากพนักงานธนาคารผู้รับการชำระเงิน คือ นายอรรถพล ว่องทั่ง
แต่พนักงานคนดังกล่าวได้ทำการโอนเงินผิดบัญชี โดยโอนเงินเข้าสู่บริษัทจำหน่ายรถยนต์มือสองแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร (บริษัท ไทยออโต้เซลส์ จำกัด) ส่งผลให้ลูกชายของตนเองต้องถูกตัดสิทธิ์ในการสมัครสอบแอดมิชชัน จนทำให้ไม่มีที่ศึกษาต่อ ทั้งที่มีความรู้ ความสามารถพอในการเข้าศึกษาในสถาบันทั้ง 4 แห่งที่ได้คัดเลือกไว้ จึงถือเป็นการทำงานด้วยความประมาทเลินเล่อของ นายอรรถพล พนักงานธนาคาร ที่ไม่สามารถให้อภัยได้ เพราะถือเป็นผู้ทำร้ายเด็กอย่างเลือดเย็น
“ในการร้องต่อสื่อมวลชนครั้งนี้ ไม่ต้องการให้บุคคลใดเกิดความเสียหาย แต่ต้องการให้กรณีของลูกชายเป็นกรณีตัวอย่างแก่ผู้ปกครองท่านอื่น และไม่ต้องการให้พนักงานคนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง” นายมานิตย์ กล่าวต่อและว่า
นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา ตนยังได้เข้าพบกับผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพ สาขาห้วยยอด เพื่อพูดคุยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วย โดยที่ นายเกียรติก้อง ได้กล่าวยอมรับผิดในเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมขอรับหน้าที่ในการประสานต่อทางคณะกรรมการการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง เพื่อร่วมหาทางแก้ไขในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้มีการระบุระยะเวลาในการยื่นมือเข้าช่วยเหลือในครั้ง
อย่างไรก็ตาม ตนรู้สึกไม่มั่นใจต่อสิ่งที่ทางธนาคารจะแสดงความรับผิดชอบ และได้ขาดความเชื่อมั่นกับทางธนาคาร ตั้งแต่ทราบถึงความผิดพลาดทั้งหมดแล้ว เพราะ นายอรรถพล ผู้ที่เป็นต้นเรื่องทั้งหมด ก็ได้กล่าวเพียงคำขอโทษหลังจากที่ตนได้เข้าไปต่อว่าเท่านั้น โดยที่ทางธนาคารไม่ได้เรียกให้ นายอรรถพล มาพูดคุยเพื่อแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด จึงได้ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนดังกล่าว
ดังนั้น ตนเองยังได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับทางธนาคารกรุงเทพ สาขาห้วยยอด ถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งหากลูกชายของตนไม่สามารถเข้าศึกษาต่อที่ใดได้ จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับทางธนาคารถึงที่สุด
ส่วนการฟ้องร้องจะเป็นอย่างไรนั้น นายมานิตย์ กล่าวว่า ตนจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทนาย เนื่องจากความเสียหายของครอบครัวและของลูกชาย คือ นายจักรพงษ์ ในครั้งนี้ ไม่สามารถที่จะประเมินเป็นมูลค่าได้ จึงไม่ขอแสดงความคิดเห็นต่อค่าเสียหายที่ทางธนาคารจะเป็นผู้ชดใช้ แต่จากนี้ไปตนจะทำหนังสือร้องเรียนถึงพฤติกรรมของพนักงานคนดังกล่าว เพื่อให้มีการตรวจสอบและลงโทษทางวินัย เนื่องจากในวันดังกล่าวช่วงที่ นายอรรถพล ได้รับการชำระเงินจากตนนั้น นายอรรถพล ได้มีการพูดคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย จึงทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ดังนั้น ทางธนาคารจะต้องมีการพิจารณาการทำงานของ นายอรรถพล เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจนส่งผลเสียหายให้แก่บุคคลอื่นต่อไป
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวดังกล่าวที่เกิดขึ้น ตนถือเป็นการทำร้ายจิตใจ และอนาคตของลูกชายเป็นอย่างมาก ซึ่งหลังจากการประกาศผลออกมาแล้วนั้น ลูกชายเอาแต่ร้องไห้ทำให้ทุกคนในครอบครัว มีความเป็นห่วงเกรงจะส่งผลถึงอันตรายต่อชีวิตของลูกชาย แต่ขณะนี้ลูกชายเริ่มมีจิตใจที่ดีขึ้น เนื่องจากเพื่อนๆ ได้ติดต่อให้รีบขึ้นกรุงเทพฯ เพื่อไปสมัครสอบคัดเลือกในโครงการเรียนดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และโครงการพิเศษ ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำหรับนักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ย 3.00 ขึ้นไป โดยที่ลูกชายมีเกรดเฉลี่ยสะสมอยู่ที่ 3.14 แต่หากทั้ง 2 โครงการไม่สามารถเข้าเรียนได้ ก็คงจะต้องเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และอาจจะสอบเอนทรานซ์ใหม่อีกครั้งในปีต่อไป