นครศรีธรรมราช – โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เย้ย"จตุพร"กุเรื่องนายกฯ ไม่อยู่ในรถตอนถ่อยแดงไล่ทุบ ยันไม่ท้าเดิมพันเก้าอี้ ส.ส.เพราะไร้ความหมาย แฉเคยท้าเรื่องวุฒิการศึกษาอดีต รมต.คมนาคมยังไม่รับผิดชอบ พร้อมแนะหยุดพูด ไม่งั้นกำพืดยิ่งโผล่ เย้ย นปช.สร้างเรื่องบิดเบือน หวังรักษามวลชนที่ไม่รู้ความจริง
ที่ จ.นครศรีธรรมราช วันนี้(9 พ.ค.) นายเทพไท เสนพงษ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ได้พยายามออกมาพูดอย่างต่อเนื่องว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในรถประจำตำแหน่ง ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงไล่ทุบรถที่กระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 1 เม.ย.52 เป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือต้องการให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่ารัฐบาลจัดฉากสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อจะฉวยโอกาสสลายม็อบโดยการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ได้มีการจัดฉากการเพื่อประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก่อนที่จะมีการทุบรถของนายกฯ และก็วันนี้ได้มีการพิสูจน์ชัดว่านายกรัฐมนตรีได้อยู่ในรถประจำตำแหน่งคันดังกล่าวจริงโดยมีภาพจากทีวีหลายช่องซึ่งในตอนแรกพรรคก็คิดว่าไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญก็เลยไม่ได้นำเรื่องนี้ออกมายืนยัน
นายเทพไทกล่าวต่อว่า ทางฝ่ายพรรคเพื่อไทยคงเห็นว่าน่าจะไม่มีหลักฐานพอจะยืนยันได้จึงถือโอกาสกุข่าวเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ว่าวันนี้ได้เห็นภาพข่าวชัดเจนในทีวีหลายช่องโดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันหนักแน่นว่าตนเองได้อยู่ในรถจริง ผู้สื่อข่าวทั้งช่างภาพโทรทัศน์ ภาพนิ่งก็ได้ยืนยันรวมไปถึง รปภ.และก็คนเสื้อแดงบางส่วนที่มีจิตใจรักความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลึกลับเป็นเรื่องที่มีประจักษ์พยานมีคนเห็นจริง
นายเทพไท กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เชื่อว่านายจตุพร อาจจะเข้าใจว่า 1.ไม่มีหลักฐานจะยืนยันได้เลยกุเรื่องขึ้นมา 2. รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแต่ต้องการจะบิดเบือนเพื่อจะให้เป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่ม นปช.ต่อไป เพราะฉะนั้นเมื่อภาพข่าวปรากฏชัด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันชัดโดยไม่มีข้อโต้แย้งจึงไม่ทราบว่านายจตุพรจะรับผิดชอบคำพูดตัวเองอย่างไรบ้างเพราะว่าเรื่องนี้จริงๆ แล้วมีคนแนะนำให้ท้าทายนายจตุพรโดยเอาตำแหน่ง ส.ส.เป็นเดิมพันแต่ว่าทางพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าพฤติกรรมของนายจตุพรในเรื่องความรับผิดชอบการเอาตำแหน่งเป็นเดิมพันนั้นไม่มีความหมายสำหรับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพราะนายจตุพรเคยล้มเหลวในกรณีที่เอาตำแหน่ง ส.ส.เป็นเดิมพันในสภากับ พ.อ.วินัย สมพงษ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ กรณีพิสูจน์นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รมว.คมนาคม ทุจริตการศึกษารามคำแหงและปรากฏว่าผลเป็นไปตามความเป็นจริงที่ พ.อ.วินัย ได้อภิปราย นายจตุพรก็ไม่ได้มีท่าทีแสดงความรับผิดชอบใดๆ
“อันนี้ก็เช่นเดียวกันถ้าหากว่าจะไปเรียกร้องหาความรับผิดชอบโดยเอาตำแหน่ง ส.ส.ของนายจตุพรเป็นเดิมพันก็จะไม่มีความหมายนายจตุพรก็ได้ปฏิเสธอย่างไม่มีความรับผิดชอบ ผมคิดว่าเมื่อหลักฐานปรากฏชัดเจนแบบนี้การชุมนุมในวันที่ 10 ที่จะถึงนี้โดยแกนนำได้ประกาศว่าวัตถุประสงค์ของการชุมนุมเพื่อต้องการที่จะชี้แจงกรณีการสลายการชุมนุมโดยกรณีประเด็นที่นายกฯ ไม่ได้อยู่ในรถในเหตุการณ์เพื่อต้องการตีแผ่ให้ประชาชนได้รับทราบแต่วันนี้พิสูจน์ได้ว่าที่จะยกเป็นข้ออ้างในการเคลื่อนไหว มันได้ถูกหักล้างได้ถูกพิสูจน์จากหลายๆ ฝ่ายว่าประเด็นดังกล่าวไม่เป็นความจริงจึงไม่ทราบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ยังคงยืนยันที่จะชุมนุมต่อหรือไม่ถ้าหากว่าเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมืองและก็ตนเองก็ไม่มีประเด็นที่ค้างคาใจอยู่แล้วก็ควรที่จะยุติการเคลื่อนไหว ตัวนายจตุพรเองควรที่จะหยุดพูดได้แล้วยิ่งพูดต่อยิ่งแสดงให้เห็นกำพืด” นายเทพไทกล่าว
นายเทพไท ยังกล่าวถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช.ว่าที่ผ่านมากลุ่มคน นปช.พยายามสร้างเงื่อนไขเป็นข้ออ้างในการชุมนุมโดยตลอดวันนี้สังคมไม่ยอมรับเงื่อนไขของกลุ่มเสื้อแดงที่ผ่านมาทั้งหมด กลุ่มเสื้อแดงก็พยายามที่จะดิ้นรนหาประเด็นขึ้นแม้แม้แต่ประเด็นเล็กๆ ก็พยายามที่จะหยิบฉวยขึ้นมาเพื่อจุดประกายให้การชุมนุมเดินต่อไปให้ได้ รัฐบาลเองก็พยายามที่จะเคลียร์ พยายามที่ขจัดเงื่อนไขความขัดแย้งของการชุมนุมทั้งหมดออกไปแล้วแต่คนเหล่านี้ยังดึงดันที่จะเคลื่อนไหวต่อโดยสร้างสถานการณ์ สร้างข่าวโดยบิดเบือนให้คนเข้าใจผิดเพราะคนเหล่านี้เชื่อว่ายังมีกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งที่ยังหลับหูหลับตาฟังข้อมูลอยู่กับแกนนำฝ่ายเดียวไม่เปิดใจกว้างที่จะรับข้อมูลรอบด้านหลายๆ ฝ่ายเพราะฉะนั้นก็เชื่อว่ามวลชนส่วนก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหวและต้องการจะเคลื่อนไหวต่อเพื่อที่จะรักษามวลชนไว้
นายเทพไท กล่าวต่อว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นคนเหล่านี้กลับโยนให้กับมือที่สามเป็นมาอย่างนี้โดยตลอดทั้งๆ ที่การเคลื่อนไหวหลายฝ่ายเรียกร้องให้แกนนำรับผิดชอบต่อพฤติกรรมผู้ชุมนุมเพราะเชื่อว่าผู้ชุมนุมมาจากหลากหลายและคนเหล่านี้บริหารจัดการเกณฑ์ผู้ชุมนุมโดยไม่เลือกคุณภาพของผู้ชุมนุมโดยไม่ได้เอาเรื่องอุดมการณ์เป็นหลักเอาปริมาณเป็นหลักเพราะฉะนั้นพอเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นคนเหล่านี้ก็จะโยงไปถึงมือที่สามเป็นประจำตั้งแต่กรณีเผารถเมล์ก็ถือว่าเป็นเรื่องของบุคคลที่สาม เรื่องการยิงคนตายที่ตลาดนางเลิ้งก็บอกว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของมือที่สาม
“อันนี้ก็เช่นเดียวกันเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยก็อ้างว่าเป็นเรื่องของทหาร จึงอยากจะถามว่าวันที่มีทหาร ตำรวจ ออกมาใส่เสื้อแดงทำไมแกนนำเหล่านี้ได้ประกาศสดุดี ชื่นชมยินดีต่อพฤติกรรมของทหารนอกแถวเหล่านี้ พอวันนี้มีประเด็นที่สังคมรับไม่ได้คนเหล่านี้ก็พยายามป้ายสีไปยังทหารเพราะฉะนั้นต้องพิสูจน์ว่าคนที่ทำคือทหารจริงหรือไม่และก็เชื่อว่ากระบวนการการตรวจสอบนั้นความจริงจะต้องเกิด ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานชัดและก็เชื่อว่าทุกอย่างจะหนีความจริงไปไม่พ้น”
นายเทพไท กล่าวถึง กระแสการต่อสู้ด้วยอาวุธของคนเสื้อแดงว่าเรื่องนี้เชื่อว่ามีแนวความคิดเหล่านี้อยู่ในแกนนำบางคนอยู่จริงแล้วก็ยังมีคนที่มีแนวความคิดเรื่องการจับอาวุธขึ้นสู้ภาครัฐยังหลงเหลืออยู่จริง และก็ข่าวนี้จะพูดกันอย่างกว้างขวางในหมู่อดีตสมาชิกคอมมิวนิสต์ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองและที่ได้รับการชัดชวนให้ไปร่วมขบวนการนี้แล้วได้ปฏิเสธไปมีอยู่จริงแต่ว่าทั้งหมดนั้นมันอยู่ที่เจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ตำรวจสันติบาลที่จะติดตามอันนี้เป็นเพียงกระแสข่าวที่ส่งมาพูดถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเหล่านี้ซึ่งคิดว่าเรื่องนี้คำตอบน่าจะได้ในสัปดาห์นี้ซึ่งความชัดเจนจะมากขึ้น
“กลุ่มแกนนำเสื้อแดงบางกลุ่มที่ประกาศตัวค่อนข้างจัดเจนว่าจะยังนิยมในลัทธิคอมมิวนิสต์ยังนิยมการต่อสู้อำนาจรัฐโดยความรุนแรง กลุ่มที่เข้ามาเป็นการ์ดรักษาความปลอดภัยของกลุ่มคนเสื้อแดงเชื่อว่าคนเหล่านี้โดยนิสัยแล้วอาจจะชอบความรุนแรงอยู่แล้วน่าที่จะได้รับการฝึกฝนมาระดับหนึ่งเพราะฉะนั้นก็น่าจะเป็นตัวเชื่อมโยงสานต่อไปยังเรื่องการใช้ความรุนแรงต่อสู้กับอำนาจรัฐ”นายเทพไทกล่าว
นายเทพไทกล่าวต่อว่า สำหรับสหายเก่าๆ ที่กลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยนั้นก็ต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน บางส่วนก็ปล่อยวางสำหรับการต่อสู้ทางด้านความคิด การต่อสู้ทางด้านอาวุธไปแล้วจะมีบางส่วนก็ยังคิดเรื่องการต่อสู่ทางความคิดอยู่และก็ยังฝันว่าการลุกขึ้นต่อสู้โดยการจับอาวุธนั้นจะเป็นผลสำเร็จได้จึงยังตกค้างอยู่ในความคิดของคนเหล่านี้แต่ว่าทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางสังคมว่าสังคมจะรับได้หรือไม่ทุกวันนี้สังคมได้ก้าวเดินผ่านพ้นจุดนั้นไปแล้วก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการยากที่จะประสบความสำเร็จในแนวคิดนี้