ยะลา – นักวิชาการยะลาชี้การโฟนอินของอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีการชี้แนะในการแก้ปัญหาประเทศ โดยให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นผู้แก้ปัญหาถือว่าเป็นการก้าวล้ำเบื้องสูง แนะรัฐสภา ผู้ที่ทรงเกียรติทั้งหลายทั้งสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เร่งหาข้อยุติ
ปัญหาวิกฤตความรุนแรงทางการเมืองภายประเทศไทยที่มีความขัดแย้ง และทวีความรุ่นแรงอยู่ในขณะนี้ ประชาชนในประเทศเกิดการแบ่งแยก เป็น 2 ฝ่าย คือ (ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล และฝ่ายต่อต้านรัฐบาล) ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการโฟนอินปลุกระดมคนเสื้อแดงอยู่ตลอดเวลา
ล่าสุด อดีตนายกรัฐมนตรีได้โฟนอินกล่าวว่าปัญหาวิกฤตทางการเมืองไทยที่มีความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงคนเดียวที่สามารถแก้ปัญหาได้ ความคิดเห็นในเรื่องนี้ ผศ.เอกฉัตร วิทยอภิบาลกุล อาจารย์ประจำสาขา วิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาราชภัฏยะลา กล่าวว่า ขอเรียนพี่น้องประชาชนภายในประเทศว่า ประเทศไทยในวันนี้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยทั่วไปแล้วพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ก็จะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติไว้ ประเทศเป็นระบอบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งในการจัดการบริหารบ้านเมืองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะได้มอบอำนาจดังกล่าวไปให้แก่องค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นจำนวน 3 องค์กรหลัก คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ โดยรัฐสภา ฝ่ายบริหารโดยคณะรัฐมนตรี ฝ่ายตุลาการโดยศาล ปัญหาทางการเมืองในวันนี้ ต้องยอมรับว่าเกิดมาจากปัญหาขององค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรผู้ใช้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร คือคณะรัฐสภา กับคณะรัฐมนตรี ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้สร้างปัญหา พร้อมทั้งได้สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศ และประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะสิ่งที่มองเห็นในตอนนี้ คือ ความแตกแยก ถ้าเรามองในขณะนี้อำนาจของพระมหากษัตริย์ไม่ได้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน มีอำนาจแค่เพียงการปกครอง มีฐานะเป็นองค์พระประมุขที่เป็นไปตามรับธรรมนูญ
ผศ.เอกฉัตร กล่าวต่อว่า ดังนั้นในแนวความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยากจะให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ใช้พระราชอำนาจมาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ตามรัฐธรรมนูญที่ได้มอบอำนาจให้ในการที่พระมหากษัตริย์จะทรงใช้อำนาจตัดสินใจทางการเมือง ก็คงต้องเป็นไปตามมาตรา 7 แต่ถ้าวิเคราะห์ตามสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน เหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนี้ ก็ไม่ได้มีเหตุผลใด หรือเหตุการณ์ใด อันจะนำมาซึ่งพระมหากษัตริย์ที่จะได้ทรงใช้พระราชอำนาจตามมาตรา 7 ได้
“ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นผู้ที่ใช้อำนาจในการบริหารประเทศต้องใช้อำนาจอย่างสมบูรณ์ นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัยมนตรี ต้องยอมเจ็บปวดบ้าง และ ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า กลไกของอำนาจรัฐในปัจจุบัน กลไกไหนบ้างที่ไม่ได้ทำหน้าที่ หรือกลไกไหนบ้างที่ทำหน้าที่แล้วยังไม่สมบูรณ์ไม่สนองตอบต่อแนวคิดทางการบริหารจัดการของภาครัฐที่ดี ต้องมีการปรับปรุงและต้องมีการแก้ไขตรงจุดนั้น นั้นคือบทบาทของคณะรัฐมนตรี”
ในส่วนของรัฐสภา ผู้ที่ทรงเกียรติทั้งหลายทั้งสมาชิกวุฒิสภา และ ในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องทราบว่าวิกฤติชาติที่เกิดความรุนแรง อะไรที่เป็นปัญหา และอะไรที่เป็นทางออกของประเทศชาติในขณะนี้ บุคคลเหล่านี้ต้องไปหาข้อยุติให้ได้ ต้องลืมความรู้สึกส่วนตัวออกไป ต้องตัดเหตุผลของพรรคพวกออกไป ต้องมองว่าอะไรคือผลประโยชน์ร่วมกันของคนภายในประเทศ
ดังนั้น ข้อสรุปคือ ในแนวความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถ้าจะโต้แย้งทางการเมือง ในขณะนี้ก็สามารถที่จะโต้แย้งได้ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีสิทธิ ที่จะดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยลงมาเกี่ยวข้องด้วย