เขื่อนกันคลื่นบริเวณชายหาดราไวย์ภูเก็ตพังทลายยาว 30-35 เมตร เทศบาลปิดประกาสตลาดแนวกันคลื่นเป็นพื้นที่อันตราย นายกเทศมนตรีเตรียมเรียกหน่วยงานเกี่ยวข้องประชุมหาสาเหตุเขื่อนพัง พรอมตั้งคณะทำงานตรวจสอบ
นายอรุณ โสฬส นายกเทศมนตรีตำบลราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวถึง กรณีเขื่อนกันคลื่นบริเวณชายหาดราไวย์ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พังทลายลงมาโดยไม่ทราบสาเหตุความยาวประมาณ 30-35 เมตร ว่า ที่ผ่านมาบริเวณชายหาดราไวย์ มีปัญหาเรื่องของคลื่นกัดเซอะชายหาด จนทำให้ต้นสนอายุหลายสิบปีโค่นล่ม และคลื่นยังซัดเข้าไปถึงถนน ทางเทศบาลตำบลราไวย์จึงได้ว่าจ้างให้บริษัทเอกชนออกแบบทำเขื่อนกันคลื่น และว่าจ้างบริษัทเอกชนทำการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นความยาวประมาณ 200 เมตร และมีการส่งมอบงานมาแล้วระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างประกันงาน และเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมามาได้รับแจ้งจากชาวบ้านและทางเจ้าหน้าที่เทศบาลว่าเขื่อนกันคลื่นบริเวณชายหาดพังทลายลงมา ระยะความยาวประมาณ 30-35 เมตร ช่วงระหว่างร้านแม่คล่องจนถึงบริเวณทางขึ้นลงเรือเพื่อเดินทางไปยังเกาะแก้วพิสดาร เกาะโหลนและใกล้เคียง ซึ่งหลังจากที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างที่รับผิดชอบลงไปตรวจสอบ และให้นำเชือกมากั้นบริเวณที่เกิดปัญหา พร้อมเขียนข้อความแจ้งให้ทราบว่าเป็นพื้นที่อันตรายห้ามเข้าตลอดแนวเขื่อนกันคลื่น
“เบื้องต้นที่ได้สอบถามทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างของเทศบาลฯ ได้ยืนยันว่าการดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามแบบและวัสดุก่อสร้างที่กำหนด และได้มีการรับรองแบบโดยวิศวกรเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ต้องเชิญในส่วนของผู้รับเหมา และวิศวกรผู้รับรองแบบมาสอบถามรายละเอียดอีกครั้ง พร้อมกันนี้ก็จะได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงว่าการพังของเขื่อนกันคลื่นดังกล่าวเกิดจากอะไรกันแน่ ซึ่งหากเป็นปัญหาของการก่อสร้างทางบริษัทผู้รับเหมาะก่อสร้างจะต้องรับผิดชอบดำเนินการแก้ไข เพราะยังอยู่ในช่วงของการประกันงาน แต่หากเป็นสาเหตุจากธรรมชาติก็ต้องมาพิจารณากันอีกครั้งว่าจะดำเนินการแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป”
นายอรุณ ยังกล่าวถึงปัญหาการกัดเซาะของชายฝั่งบริเวณหาดราไวย์ ว่า เป็นปัญหามานานแล้ว ในช่วงที่ยังไม่มีการทำเขื่อนชายฝั่งจะถูกกัดเซาะขึ้นมาจนถึงบริเวณถนน ดังนั้นหลังจากเกิดสึนามิเมื่อปี 2547 ได้มีการของบประมาณเพื่อจัดทำเขื่อนกันคลื่นและจัดระเบียบบริเวณชายหาดราไวย์จำนวนประมาณ 11 ล้านบาทเศษ ในการก่อสร้างก็เป็นไปตามระเบียบราชการทุกขั้นตอน แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีปัญหาเรื่องของการกัดเซาะชายฝั่งมานาน เมื่อคลื่นกระทบฝั่งก็จะดึงทรายลงไป ที่ผ่านมาทางบริษัทรับเหมาได้ใช้ดินมาอัดจนแน่นแต่ก็แก้ปัญหาได้เพียงระดับหนึ่งเพราะน้ำยังคงกัดเซาะทรายและดินฐานราก แม้แต่บริเวณที่เป็นทางเดินเท้าด้านล่างก็ถูกน้ำเซาะจนเป็นโพรง ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขและเป็นจังหวะเดียวกันที่เขื่อนกันคลื่นพังลงมา
นายอรุณ โสฬส นายกเทศมนตรีตำบลราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวถึง กรณีเขื่อนกันคลื่นบริเวณชายหาดราไวย์ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พังทลายลงมาโดยไม่ทราบสาเหตุความยาวประมาณ 30-35 เมตร ว่า ที่ผ่านมาบริเวณชายหาดราไวย์ มีปัญหาเรื่องของคลื่นกัดเซอะชายหาด จนทำให้ต้นสนอายุหลายสิบปีโค่นล่ม และคลื่นยังซัดเข้าไปถึงถนน ทางเทศบาลตำบลราไวย์จึงได้ว่าจ้างให้บริษัทเอกชนออกแบบทำเขื่อนกันคลื่น และว่าจ้างบริษัทเอกชนทำการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นความยาวประมาณ 200 เมตร และมีการส่งมอบงานมาแล้วระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างประกันงาน และเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมามาได้รับแจ้งจากชาวบ้านและทางเจ้าหน้าที่เทศบาลว่าเขื่อนกันคลื่นบริเวณชายหาดพังทลายลงมา ระยะความยาวประมาณ 30-35 เมตร ช่วงระหว่างร้านแม่คล่องจนถึงบริเวณทางขึ้นลงเรือเพื่อเดินทางไปยังเกาะแก้วพิสดาร เกาะโหลนและใกล้เคียง ซึ่งหลังจากที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างที่รับผิดชอบลงไปตรวจสอบ และให้นำเชือกมากั้นบริเวณที่เกิดปัญหา พร้อมเขียนข้อความแจ้งให้ทราบว่าเป็นพื้นที่อันตรายห้ามเข้าตลอดแนวเขื่อนกันคลื่น
“เบื้องต้นที่ได้สอบถามทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างของเทศบาลฯ ได้ยืนยันว่าการดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามแบบและวัสดุก่อสร้างที่กำหนด และได้มีการรับรองแบบโดยวิศวกรเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ต้องเชิญในส่วนของผู้รับเหมา และวิศวกรผู้รับรองแบบมาสอบถามรายละเอียดอีกครั้ง พร้อมกันนี้ก็จะได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงว่าการพังของเขื่อนกันคลื่นดังกล่าวเกิดจากอะไรกันแน่ ซึ่งหากเป็นปัญหาของการก่อสร้างทางบริษัทผู้รับเหมาะก่อสร้างจะต้องรับผิดชอบดำเนินการแก้ไข เพราะยังอยู่ในช่วงของการประกันงาน แต่หากเป็นสาเหตุจากธรรมชาติก็ต้องมาพิจารณากันอีกครั้งว่าจะดำเนินการแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป”
นายอรุณ ยังกล่าวถึงปัญหาการกัดเซาะของชายฝั่งบริเวณหาดราไวย์ ว่า เป็นปัญหามานานแล้ว ในช่วงที่ยังไม่มีการทำเขื่อนชายฝั่งจะถูกกัดเซาะขึ้นมาจนถึงบริเวณถนน ดังนั้นหลังจากเกิดสึนามิเมื่อปี 2547 ได้มีการของบประมาณเพื่อจัดทำเขื่อนกันคลื่นและจัดระเบียบบริเวณชายหาดราไวย์จำนวนประมาณ 11 ล้านบาทเศษ ในการก่อสร้างก็เป็นไปตามระเบียบราชการทุกขั้นตอน แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีปัญหาเรื่องของการกัดเซาะชายฝั่งมานาน เมื่อคลื่นกระทบฝั่งก็จะดึงทรายลงไป ที่ผ่านมาทางบริษัทรับเหมาได้ใช้ดินมาอัดจนแน่นแต่ก็แก้ปัญหาได้เพียงระดับหนึ่งเพราะน้ำยังคงกัดเซาะทรายและดินฐานราก แม้แต่บริเวณที่เป็นทางเดินเท้าด้านล่างก็ถูกน้ำเซาะจนเป็นโพรง ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขและเป็นจังหวะเดียวกันที่เขื่อนกันคลื่นพังลงมา
