ยะลา - นักวิชาการยะลาไม่ห่วงเงินคงคลังน้อยในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เป็นห่วงในเรื่องการเบิกจ่ายที่ล่าช้ามากกว่า ชี้รัฐบาล ควรปรับแผนการเปลี่ยนรูปแบบการเบิกจ่ายงบประมาณใหม่ เพื่อประโยชน์กับจังหวัดชายแดนภาคใต้
ดร.นิรันดิ์เกียรติ ลิ่วคณูปการ คณะบดีคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กล่าวถึง กรณีเงินคงคลังที่เหลือน้อยจะมีผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่นั้นว่า ข้อเท็จจริงรัฐบาลมีเงินอยู่เยอะที่อยู่ในท่อราชการยังไม่ได้นำออกมาใช้ แต่ปัญหาจริงๆ ก็คือเศรษฐกิจตกต่ำ ฟันเฟืองหรือไดนามิกของเศรษฐกิจหยุดอยู่ที่สหรัฐอเมริกา พอหยุดตรงนั้นเฟืองทั้งโลกหยุดไปด้วย
ดังนั้น รัฐบาลต้องหาวิธีป้องกันในปีสองปีข้างหน้าด้วยการกู้เงินเข้ามาเป็นเงินคงคลังไว้ เพราะเกรงว่าเกิดวิกฤตมากขึ้นในปีหน้า ส่วนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้าการเบิกจ่ายยังคงเป็นแบบเดิม ปัญหาที่เกิดขึ้นกว่าเงินจะลงมาในพื้นที่เกิดความล่าช้ามาก เบิกเดือนมกราคม มาออกในเดือนมีนาคม แล้วมาเร่งรัดให้ใช้หมดภายในเดือนกันยายน ซึ่งถ้าหากยังไม่เปลี่ยนระบบที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดปัญหาในการดำเนินการมากกว่า ส่วนการกู้เงินของรัฐบาล นั้น ต้องดูวัตถุประสงค์ว่ากู้มาเพื่อทำอะไร เพื่อป้องกันหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าใช้ถูกทางไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งการกู้เงินเป็นเรื่องธรรมดา
การเบิกเงินช้าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ซึ่งทุกปีก็เบิกช้าอยู่แล้ว ตั้งเกิดเหตุความมาสงบในพื้นที่เป็นเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมาจะมีแต่ตัวเลขเข้ามา เป็นการเบิกจ่ายงบประมาณในรูปแบบเดิมๆ มีขั้นตอนมากมาย มีแผนก็จริงแต่ต้องปรับแผนโดยตลอด ซึ่งถ้ารัฐบาลชุดนี้มีแผนการเปลี่ยนรูปแบบการเบิกจ่ายงบประมาณใหม่น่าจะมีประโยชน์ต่อจังหวัดชายแดนภาคใต้และประเทศไทย ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจอยู่ในลักษณะนี้
ดร.นิรันดิ์เกียรติ์ กล่าวอีกว่า การตรวจสอบการใช้เงิน เป็นเรื่องสำคัญมาก ในจังหวะที่มีข้าราชการในจำนวนจำกัดเท่าเดิม จะทำให้ข้าราชการที่ได้รับเงินงบประมาณมากขึ้น อาการตกใจกับการใช้เงินเกิดขึ้น อาการตกใจในที่นี่ก็คือการไม่รู้จะนำเงินเอาไปใช้ทำอะไร เพราะฉะนั้น เงินลงมา ให้มีการอบรมข้าราชการในเรื่องของการใช้เงินด้วย การใช้เงินแบบไหนจะเกิดประโยชน์กับประชาชนมากกว่ากัน ไม่ใช่เอาตัวเลขมา รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมในการใช้เงินของข้าราชการด้วย ทั้งระดับล่าง กลางและระดับสูงด้วย
ดร.นิรันดิ์เกียรติ ลิ่วคณูปการ คณะบดีคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กล่าวถึง กรณีเงินคงคลังที่เหลือน้อยจะมีผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่นั้นว่า ข้อเท็จจริงรัฐบาลมีเงินอยู่เยอะที่อยู่ในท่อราชการยังไม่ได้นำออกมาใช้ แต่ปัญหาจริงๆ ก็คือเศรษฐกิจตกต่ำ ฟันเฟืองหรือไดนามิกของเศรษฐกิจหยุดอยู่ที่สหรัฐอเมริกา พอหยุดตรงนั้นเฟืองทั้งโลกหยุดไปด้วย
ดังนั้น รัฐบาลต้องหาวิธีป้องกันในปีสองปีข้างหน้าด้วยการกู้เงินเข้ามาเป็นเงินคงคลังไว้ เพราะเกรงว่าเกิดวิกฤตมากขึ้นในปีหน้า ส่วนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้าการเบิกจ่ายยังคงเป็นแบบเดิม ปัญหาที่เกิดขึ้นกว่าเงินจะลงมาในพื้นที่เกิดความล่าช้ามาก เบิกเดือนมกราคม มาออกในเดือนมีนาคม แล้วมาเร่งรัดให้ใช้หมดภายในเดือนกันยายน ซึ่งถ้าหากยังไม่เปลี่ยนระบบที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดปัญหาในการดำเนินการมากกว่า ส่วนการกู้เงินของรัฐบาล นั้น ต้องดูวัตถุประสงค์ว่ากู้มาเพื่อทำอะไร เพื่อป้องกันหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าใช้ถูกทางไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งการกู้เงินเป็นเรื่องธรรมดา
การเบิกเงินช้าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ซึ่งทุกปีก็เบิกช้าอยู่แล้ว ตั้งเกิดเหตุความมาสงบในพื้นที่เป็นเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมาจะมีแต่ตัวเลขเข้ามา เป็นการเบิกจ่ายงบประมาณในรูปแบบเดิมๆ มีขั้นตอนมากมาย มีแผนก็จริงแต่ต้องปรับแผนโดยตลอด ซึ่งถ้ารัฐบาลชุดนี้มีแผนการเปลี่ยนรูปแบบการเบิกจ่ายงบประมาณใหม่น่าจะมีประโยชน์ต่อจังหวัดชายแดนภาคใต้และประเทศไทย ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจอยู่ในลักษณะนี้
ดร.นิรันดิ์เกียรติ์ กล่าวอีกว่า การตรวจสอบการใช้เงิน เป็นเรื่องสำคัญมาก ในจังหวะที่มีข้าราชการในจำนวนจำกัดเท่าเดิม จะทำให้ข้าราชการที่ได้รับเงินงบประมาณมากขึ้น อาการตกใจกับการใช้เงินเกิดขึ้น อาการตกใจในที่นี่ก็คือการไม่รู้จะนำเงินเอาไปใช้ทำอะไร เพราะฉะนั้น เงินลงมา ให้มีการอบรมข้าราชการในเรื่องของการใช้เงินด้วย การใช้เงินแบบไหนจะเกิดประโยชน์กับประชาชนมากกว่ากัน ไม่ใช่เอาตัวเลขมา รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมในการใช้เงินของข้าราชการด้วย ทั้งระดับล่าง กลางและระดับสูงด้วย
