นครศรีธรรมราช - "พระครูสมภารวัดดังนครศรีธรรมราช" ตั้งวงซดเบียร์เมาได้ที่เลือดหึงขึ้นหน้า คว้าเก้าอี้ตีคู่ขาน่วม - ตำรวจบุกเฝ้าเตรียมตะครุบเผ่นหายไม่กล้ากลับกุฏิ นายอำเภอเดือดชงคณะสงฆ์ฟัน-ดำเนินคดีซ้ำฐานทำร้ายร่างกายหนุ่มคู่ขา
เรื่องราวของความเสื่อมเสียในวงการสงฆ์ได้ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง เมื่อเวลา 03.50 น.ของวันนี้ (23 ม.ค.) หลังจากที่ พ.ต.ท.วันชัย ดอกขัน พนักงานสอบสวนเวร สภ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช รับแจ้งทางโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ จากชายคนหนึ่งอ้างว่าถูกพระเจ้าอาวาสวัดควนสูง ม.8 ต.ฉวาง ทำร้ายร่างกายโดยใช้เก้าอี้ทุบตี ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ภายในวัดหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้าทำการตรวจสอบพร้อมด้วยสายตรวจท้องที่
หลังจากที่เจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงภายในวัดได้มีชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากมุมมืดมาพบกับเจ้าหน้าที่ในสภาพฟกช้ำดำเขียว ทราบชื่อต่อมาคือนายพรศักดิ์ สุทธิ อายุ 26 ปี อยู่ 121/1 ม.12 ต.นาแว อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ได้ระบุว่าผู้ที่ทำร้าย คือ พระครูอเนกธรรมคุณ เจ้าอาวาสวัดควนสูง ซึ่งหลังจากที่เกิดเหตุนั้นตนได้วิ่งหนีออกมาจากกุฏิของพระครู พร้อมด้วยเพื่อนชายอีก 2-3 คน
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงติดตามเข้าไปในกุฏิพบว่ามีสำรับอาหารแก้วเบียร์พร้อมด้วยขวดเบียร์หลายขวดที่ดื่มหมดแล้วหลายขวดและยังไม่ดื่มอีกจำนวน ลังบรรจุเบียร์ ส่วนพระครูอเนกธรรมคุณ ได้หายตัวไปจากกุฏิแล้ว เจ้าหน้าดักรอจนกระทั่งรุ่งสางปรากฎว่าพระครูอเนกธรรมคุณ ยังไม่ยอมกลับกุฏิ
นายพรศักดิ์ สุทธิ อายุ 26 ปี แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนเองนั้นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระครูอเนกธรรมคุณ และก่อนเกิดเหตุตั้งแต่ช่วงค่ำได้ร่วมกันตั้งวงดื่มเบียร์กันภายในกุฏิของพระครู พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน จนเบียร์หมดไปหลายขวด หลังจากนั้นได้แยกย้ายกันไป ส่วนพระครู ได้เกิดโมโหขึ้นมาด้วยความหึงหวงจึงใช้เก้าอี้ไม้ทุบตีทำร้าย ตนจึงวิ่งออกมานอกกุฏิก่อนที่จะโทรศัพท์แจ้งตำรวจเข้ามาในวัด ส่วนพระครู ได้หายตัวไปหลังจากนั้น
พ.ต.ท.วันชัย ดอกขัน พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเปิดเผยว่า ในชั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นได้รับคดีทำร้ายร่างกายไว้เป็นเบื้องต้นและในช่วงเช้าได้ส่งตัวนายพรศักดิ์ซึ่งได้รับบาดเจ็บในลักษณะถูกทุบตีด้วยของแข็งฟกช้ำดำเขียว ปวดเมื่อไปตรวจร่างกายยัง รพ.สมเด็จพระยุพราชฉวาง เพื่อขอใบรับรองแพทย์อาการบาดเจ็บ
จากการพูดคุยในเบื้องต้นนั้นพอสรุปความได้ว่านายพรศักดิ์กับพระครู นั้นมีความสัมพันธ์ในทางไม่เหมาะสมทำนองชายกับชาย ซึ่งก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นได้ตั้งวงดื่มกินกันในกุฏิเข้าใจว่าต่างคนต่างเมาได้ที่กันแล้ว และได้มีการพบอะไรบางอย่างที่ทำให้พระครูกับนายพรศักดิ์เกิดความหึงหวงกันจึงทำร้ายร่างกายกันขึ้น
"ช่วงที่ผมเข้าไปนั้นเพื่อนของนายพรศักดิ์ ไม่อยู่แล้ว ตัวพระครูเองก็ไม่อยู่แล้วเช่นกันยังหายตัวเจ้าหน้าที่ยังตามตัวไม่พบ ชั้นของพนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการได้ในส่วนของคดีทำร้ายร่างกาย ซึ่งหากได้ตัวเมื่อช่วงเกิดเหตุนั้นเจ้าหน้าที่สามารถนำตัวไปพบกับเจ้าคณะอำเภอได้ทันที แต่หลังจากเกิดเหตุไม่พบตัวดังนั้นหลังจากที่นายพรศักดิ์ตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้วจะได้ออกหมายเรียกตัวมาดำเนินคดี ส่วนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสมณเพศนั้นตำรวจจะแจ้งไปทางคณะสงฆ์ผู้ปกครองอีกครั้ง แต่ไม่สามารถที่จะก้าวล่วงไปในการดำเนินการทางวินัยได้คงทำได้แค่การดำเนินการทางกฎหมาย"
ต่อมาหลังจากตรวจร่างกายนายพรศักดิ์ สุทธิ ซึ่งอยู่ในสภาพฟกช้ำดำเขียวยอมเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนนั้นอยู่กินกับพระครูอเนกมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วในลักษณะของผัวเมีย มีความสัมพันธ์แบบชายกับชาย โดยการแนะนำของเพื่อนคนหนึ่งที่รู้พฤติกรรมของพระครู ก่อนเกิดเหตุนั้นได้มีเพื่อนมาร่วมตั้งวงดื่มเบียร์กันรวมทั้งพระครู ด้วยรวม 5 คน ส่วนตนเองนั้นไม่ได้ดื่มด้วยเพียงแค่นั่งคุยอยู่ด้วยกันเท่านั้น
"หลังจากที่ต่างก็เมาได้ที่ต่างก็แยกย้ายกันไป จากนั้นผมได้เข้าไปนอนบนเตียงกับพระครู พบว่ามีคราบอสุจิเปื้อนที่นอน ผมจึงถามด้วยความโกรธและหึงหวงในขณะที่พระครู กลับเยาะเย้ยว่ากำลังมีเด็กใหม่ จึงเกิดโต้เถียงกันขึ้น ก่อนที่พระครู จะใช้กระบอกไฟฉายทุบตีและคว้าเก้าอี้ทุบตีซ้ำจนบาดเจ็บและวิ่งหนีออกมาจากกุฏิได้ก่อนที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ" นายพรศักดิ์กล่าวยอมรับ
ขณะที่นายสุริยันต์ อนุภักดิ์ อายุ 41 ปี อยู่ 182 ม.8 ต.ฉวาง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ประธานประชาคมหมู่บ้าน เปิดเผยว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วและเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปของชาวบ้านบริเวณวัดแต่จับไม่มั่นคั้นไม่ตายไม่มีหลักฐาน ซึ่งหลายคนพยายามที่จะแก้ปัญหาโดยการประสานกับผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้สื่อข่าวรายหนึ่งมาติดตามเปิดโปงแต่ปรากฏว่า กลับมาเจรจากับพระครูได้เงินค่าปิดปากไปถึง 50,000 บาทแล้วเรื่องก็เงียบหายไปซึ่งทำให้ชาวบ้านเสียความรู้สึกมาก ดีใจที่เรื่องนี้อื้อฉาวขึ้นเพราะจะได้กำจัดมารศาสนาออกไปเสียที
ส่วนนายสกล จันทรักษ์ นายอำเภอฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ในส่วนของอำเภอได้ดำเนินการโดยให้วัฒนธรรมอำเภอเข้าไปติดตามตรวจสอบประสานงานกับคณะสงฆ์ในการดำเนินการ ซึ่งต้องเป็นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.เป็นเรื่องของฝ่ายสงฆ์ และ 2.เป็นเรื่องของฝ่ายบ้านเมืองที่จะต้องดำเนินการ
เรื่องราวของความเสื่อมเสียในวงการสงฆ์ได้ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง เมื่อเวลา 03.50 น.ของวันนี้ (23 ม.ค.) หลังจากที่ พ.ต.ท.วันชัย ดอกขัน พนักงานสอบสวนเวร สภ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช รับแจ้งทางโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ จากชายคนหนึ่งอ้างว่าถูกพระเจ้าอาวาสวัดควนสูง ม.8 ต.ฉวาง ทำร้ายร่างกายโดยใช้เก้าอี้ทุบตี ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ภายในวัดหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้าทำการตรวจสอบพร้อมด้วยสายตรวจท้องที่
หลังจากที่เจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงภายในวัดได้มีชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากมุมมืดมาพบกับเจ้าหน้าที่ในสภาพฟกช้ำดำเขียว ทราบชื่อต่อมาคือนายพรศักดิ์ สุทธิ อายุ 26 ปี อยู่ 121/1 ม.12 ต.นาแว อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ได้ระบุว่าผู้ที่ทำร้าย คือ พระครูอเนกธรรมคุณ เจ้าอาวาสวัดควนสูง ซึ่งหลังจากที่เกิดเหตุนั้นตนได้วิ่งหนีออกมาจากกุฏิของพระครู พร้อมด้วยเพื่อนชายอีก 2-3 คน
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงติดตามเข้าไปในกุฏิพบว่ามีสำรับอาหารแก้วเบียร์พร้อมด้วยขวดเบียร์หลายขวดที่ดื่มหมดแล้วหลายขวดและยังไม่ดื่มอีกจำนวน ลังบรรจุเบียร์ ส่วนพระครูอเนกธรรมคุณ ได้หายตัวไปจากกุฏิแล้ว เจ้าหน้าดักรอจนกระทั่งรุ่งสางปรากฎว่าพระครูอเนกธรรมคุณ ยังไม่ยอมกลับกุฏิ
นายพรศักดิ์ สุทธิ อายุ 26 ปี แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนเองนั้นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระครูอเนกธรรมคุณ และก่อนเกิดเหตุตั้งแต่ช่วงค่ำได้ร่วมกันตั้งวงดื่มเบียร์กันภายในกุฏิของพระครู พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน จนเบียร์หมดไปหลายขวด หลังจากนั้นได้แยกย้ายกันไป ส่วนพระครู ได้เกิดโมโหขึ้นมาด้วยความหึงหวงจึงใช้เก้าอี้ไม้ทุบตีทำร้าย ตนจึงวิ่งออกมานอกกุฏิก่อนที่จะโทรศัพท์แจ้งตำรวจเข้ามาในวัด ส่วนพระครู ได้หายตัวไปหลังจากนั้น
พ.ต.ท.วันชัย ดอกขัน พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเปิดเผยว่า ในชั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นได้รับคดีทำร้ายร่างกายไว้เป็นเบื้องต้นและในช่วงเช้าได้ส่งตัวนายพรศักดิ์ซึ่งได้รับบาดเจ็บในลักษณะถูกทุบตีด้วยของแข็งฟกช้ำดำเขียว ปวดเมื่อไปตรวจร่างกายยัง รพ.สมเด็จพระยุพราชฉวาง เพื่อขอใบรับรองแพทย์อาการบาดเจ็บ
จากการพูดคุยในเบื้องต้นนั้นพอสรุปความได้ว่านายพรศักดิ์กับพระครู นั้นมีความสัมพันธ์ในทางไม่เหมาะสมทำนองชายกับชาย ซึ่งก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นได้ตั้งวงดื่มกินกันในกุฏิเข้าใจว่าต่างคนต่างเมาได้ที่กันแล้ว และได้มีการพบอะไรบางอย่างที่ทำให้พระครูกับนายพรศักดิ์เกิดความหึงหวงกันจึงทำร้ายร่างกายกันขึ้น
"ช่วงที่ผมเข้าไปนั้นเพื่อนของนายพรศักดิ์ ไม่อยู่แล้ว ตัวพระครูเองก็ไม่อยู่แล้วเช่นกันยังหายตัวเจ้าหน้าที่ยังตามตัวไม่พบ ชั้นของพนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการได้ในส่วนของคดีทำร้ายร่างกาย ซึ่งหากได้ตัวเมื่อช่วงเกิดเหตุนั้นเจ้าหน้าที่สามารถนำตัวไปพบกับเจ้าคณะอำเภอได้ทันที แต่หลังจากเกิดเหตุไม่พบตัวดังนั้นหลังจากที่นายพรศักดิ์ตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้วจะได้ออกหมายเรียกตัวมาดำเนินคดี ส่วนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสมณเพศนั้นตำรวจจะแจ้งไปทางคณะสงฆ์ผู้ปกครองอีกครั้ง แต่ไม่สามารถที่จะก้าวล่วงไปในการดำเนินการทางวินัยได้คงทำได้แค่การดำเนินการทางกฎหมาย"
ต่อมาหลังจากตรวจร่างกายนายพรศักดิ์ สุทธิ ซึ่งอยู่ในสภาพฟกช้ำดำเขียวยอมเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนนั้นอยู่กินกับพระครูอเนกมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วในลักษณะของผัวเมีย มีความสัมพันธ์แบบชายกับชาย โดยการแนะนำของเพื่อนคนหนึ่งที่รู้พฤติกรรมของพระครู ก่อนเกิดเหตุนั้นได้มีเพื่อนมาร่วมตั้งวงดื่มเบียร์กันรวมทั้งพระครู ด้วยรวม 5 คน ส่วนตนเองนั้นไม่ได้ดื่มด้วยเพียงแค่นั่งคุยอยู่ด้วยกันเท่านั้น
"หลังจากที่ต่างก็เมาได้ที่ต่างก็แยกย้ายกันไป จากนั้นผมได้เข้าไปนอนบนเตียงกับพระครู พบว่ามีคราบอสุจิเปื้อนที่นอน ผมจึงถามด้วยความโกรธและหึงหวงในขณะที่พระครู กลับเยาะเย้ยว่ากำลังมีเด็กใหม่ จึงเกิดโต้เถียงกันขึ้น ก่อนที่พระครู จะใช้กระบอกไฟฉายทุบตีและคว้าเก้าอี้ทุบตีซ้ำจนบาดเจ็บและวิ่งหนีออกมาจากกุฏิได้ก่อนที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ" นายพรศักดิ์กล่าวยอมรับ
ขณะที่นายสุริยันต์ อนุภักดิ์ อายุ 41 ปี อยู่ 182 ม.8 ต.ฉวาง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ประธานประชาคมหมู่บ้าน เปิดเผยว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วและเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปของชาวบ้านบริเวณวัดแต่จับไม่มั่นคั้นไม่ตายไม่มีหลักฐาน ซึ่งหลายคนพยายามที่จะแก้ปัญหาโดยการประสานกับผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้สื่อข่าวรายหนึ่งมาติดตามเปิดโปงแต่ปรากฏว่า กลับมาเจรจากับพระครูได้เงินค่าปิดปากไปถึง 50,000 บาทแล้วเรื่องก็เงียบหายไปซึ่งทำให้ชาวบ้านเสียความรู้สึกมาก ดีใจที่เรื่องนี้อื้อฉาวขึ้นเพราะจะได้กำจัดมารศาสนาออกไปเสียที
ส่วนนายสกล จันทรักษ์ นายอำเภอฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ในส่วนของอำเภอได้ดำเนินการโดยให้วัฒนธรรมอำเภอเข้าไปติดตามตรวจสอบประสานงานกับคณะสงฆ์ในการดำเนินการ ซึ่งต้องเป็นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.เป็นเรื่องของฝ่ายสงฆ์ และ 2.เป็นเรื่องของฝ่ายบ้านเมืองที่จะต้องดำเนินการ