นครศรีธรรมราช - ส.ส.ปชป.แฉ ขบวนการปั้นข่าวเท็จ เตือนพาประเทศซ้ำรอย "รวันดา"จี้กรมกร๊วกเลิกสัญญา-ปรับใหญ่เอ็นบีทีอย่าให้เสียเกียรติภูมิไปมากกว่านี้
วันนี้ (2 พ.ย.) นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เชื่อว่าผู้จัดรายการ “ความจริงวันนี้” คงใช้ความพยายามในการนำเนื้อหาการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาออกอากาศซ้ำทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที อย่างไรก็ตาม วันนี้ข้อห่วงใยที่สังคมมีต่อสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ไม่ได้อยู่ที่การถ่ายทอด หรือไม่ถ่ายทอดเสียง หรือเนื้อหาการพูดของพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ แต่กำลังข้องใจบทบาททั้งระบบของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ ในฐานะสื่อมวลชนของรัฐ เพราะเอ็นบีทีถูกบริหารจัดการโดยกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายนอกกรมประชาสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง ทั้งในระดับผู้ปฏิบัติงาน ระดับบริหาร และระดับตัดสินใจ จะเห็นได้ว่าทั้งผู้อำนวยการสถานี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบดูแล ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว
นายอภิชาต กล่าวว่า ข้อห่วงใยของ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศที่ไม่ต้อการเห็นสื่อมวลชนของรัฐถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นข้อห่วงใยที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และกรมประชาสัมพันธ์ ต้องคิดทบทวนอย่างจริงจัง ไม่มีใครอยากเห้ฯภาพมวลชนลุกฮือขึ้นมาตอบโต้สื่อมวลชนของรัฐด้วยความเคียดแค้น ด้วยสาเหตุที่สื่อมวลชนของรัฐไม่เป็นกลาง มีอคติ และมุ่งทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองจนละเลยจรรยาวิชาชีพ เหตุการณ์เผากรมประชาสัมพันธ์และตั้งสมญาว่าเป็น “กรมกร๊วก” มาตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องระวังไม่ให้เกิดซ้ำรอย
ส.ส.นครศรีธรรมราช กล่าวด้วยว่า วันนี้ เอ็นบีที ยังมีเวลากลับตัวกลับใจ กรมประชาสัมพันธ์ต้องกล้าหาญที่จะปรับปรุงระบบบริหารจัดการเสียใหม่ ต้องยกเลิกสัญญากับบริษัทเอกชนที่พาให้สื่อมวลชนในสังกัดกลายเป็นเครื่องมือตอกลิ่มความแยกในสังคม ที่สำคัญคือต้องเรียกหาความอิสระเพื่อจะได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง เที่ยงธรรม กลับคืนมาให้ได้ เพื่อจะให้สื่อมวลชนของรัฐทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ และเป็นเวทีของทุกฝ่ายในสังคมได้มีพื้นที่แสดงออกอย่างเท่าเทียมกันตามหลักการแห่งระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นหนทางเดียวที่จะคืนความปกติสุขกลับสู่สังคมไทยได้
นายอภิชาต ระบุอีกว่า ระยะหลังมีขบวนการใช้สื่อมวลชนเพื่อสนองเป้าหมายทางการเมืองด้วยการสร้างเรื่องและบิดเบือนข้อเท็จจริงจากขาวเป็นดำบ่อยครั้งมาก ตัวอย่างเช่น กรณีการโหมกระพือข่าวของวิทยุชุมชนใน จ.อุบลราชธานี ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถูกล้อมกรอบในรถ และมีผู้ปาของเสียใส่หน้ารถ ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และล่าสุดก็พยายามปล่อยข่าวผ่านทางสื่อท้องถิ่นในเครือข่ายของฝ่ายการเมืองบางฝ่าย ปลุกระดมให้คนมาปิดล้อมโรงแรมที่สัมมนาของพรรคประชาธิปัตย์ที่เชียงใหม่ แล้วบิดเบือนว่าผู้บริหารของพรรคท้าทายชาวเชียงใหม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องปั้นแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น
“อยากให้สังคมไทยระมัดระวังกับข่าวสารเหล่านี้ เพราะเกรงว่าขบวนการปั้นข่าวจะนำพาให้ประเทศไทยเดินไปซ้ำรอยเหมือนประเทศรวันดา เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่มีการใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงปลุกระดมให้สองชนเผ่าเข่นฆ่ากันเองอย่างบ้าคลั่ง จนกลายเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์มีผู้เสียชีวิตนับล้านคน” นายอภิชาต กล่าว
วันนี้ (2 พ.ย.) นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เชื่อว่าผู้จัดรายการ “ความจริงวันนี้” คงใช้ความพยายามในการนำเนื้อหาการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาออกอากาศซ้ำทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที อย่างไรก็ตาม วันนี้ข้อห่วงใยที่สังคมมีต่อสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ไม่ได้อยู่ที่การถ่ายทอด หรือไม่ถ่ายทอดเสียง หรือเนื้อหาการพูดของพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ แต่กำลังข้องใจบทบาททั้งระบบของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ ในฐานะสื่อมวลชนของรัฐ เพราะเอ็นบีทีถูกบริหารจัดการโดยกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายนอกกรมประชาสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง ทั้งในระดับผู้ปฏิบัติงาน ระดับบริหาร และระดับตัดสินใจ จะเห็นได้ว่าทั้งผู้อำนวยการสถานี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบดูแล ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว
นายอภิชาต กล่าวว่า ข้อห่วงใยของ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศที่ไม่ต้อการเห็นสื่อมวลชนของรัฐถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นข้อห่วงใยที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และกรมประชาสัมพันธ์ ต้องคิดทบทวนอย่างจริงจัง ไม่มีใครอยากเห้ฯภาพมวลชนลุกฮือขึ้นมาตอบโต้สื่อมวลชนของรัฐด้วยความเคียดแค้น ด้วยสาเหตุที่สื่อมวลชนของรัฐไม่เป็นกลาง มีอคติ และมุ่งทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองจนละเลยจรรยาวิชาชีพ เหตุการณ์เผากรมประชาสัมพันธ์และตั้งสมญาว่าเป็น “กรมกร๊วก” มาตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องระวังไม่ให้เกิดซ้ำรอย
ส.ส.นครศรีธรรมราช กล่าวด้วยว่า วันนี้ เอ็นบีที ยังมีเวลากลับตัวกลับใจ กรมประชาสัมพันธ์ต้องกล้าหาญที่จะปรับปรุงระบบบริหารจัดการเสียใหม่ ต้องยกเลิกสัญญากับบริษัทเอกชนที่พาให้สื่อมวลชนในสังกัดกลายเป็นเครื่องมือตอกลิ่มความแยกในสังคม ที่สำคัญคือต้องเรียกหาความอิสระเพื่อจะได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง เที่ยงธรรม กลับคืนมาให้ได้ เพื่อจะให้สื่อมวลชนของรัฐทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ และเป็นเวทีของทุกฝ่ายในสังคมได้มีพื้นที่แสดงออกอย่างเท่าเทียมกันตามหลักการแห่งระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นหนทางเดียวที่จะคืนความปกติสุขกลับสู่สังคมไทยได้
นายอภิชาต ระบุอีกว่า ระยะหลังมีขบวนการใช้สื่อมวลชนเพื่อสนองเป้าหมายทางการเมืองด้วยการสร้างเรื่องและบิดเบือนข้อเท็จจริงจากขาวเป็นดำบ่อยครั้งมาก ตัวอย่างเช่น กรณีการโหมกระพือข่าวของวิทยุชุมชนใน จ.อุบลราชธานี ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถูกล้อมกรอบในรถ และมีผู้ปาของเสียใส่หน้ารถ ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และล่าสุดก็พยายามปล่อยข่าวผ่านทางสื่อท้องถิ่นในเครือข่ายของฝ่ายการเมืองบางฝ่าย ปลุกระดมให้คนมาปิดล้อมโรงแรมที่สัมมนาของพรรคประชาธิปัตย์ที่เชียงใหม่ แล้วบิดเบือนว่าผู้บริหารของพรรคท้าทายชาวเชียงใหม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องปั้นแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น
“อยากให้สังคมไทยระมัดระวังกับข่าวสารเหล่านี้ เพราะเกรงว่าขบวนการปั้นข่าวจะนำพาให้ประเทศไทยเดินไปซ้ำรอยเหมือนประเทศรวันดา เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่มีการใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงปลุกระดมให้สองชนเผ่าเข่นฆ่ากันเองอย่างบ้าคลั่ง จนกลายเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์มีผู้เสียชีวิตนับล้านคน” นายอภิชาต กล่าว