ตรัง – ส.ส.ตรัง เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ชี้ 3 ส.พลังประชาชน ไม่เหมาะเป็นนายกรัฐมนตรี ระบุ นายกฯคนใหม่ต้องสง่างาม และมีความรู้ความเข้าใจที่จะแก้ไขปัญหาขณะนี้ได้
วันนี้ (15 ก.ย.) ที่โรงแรมธรรมรินทร์ ธนา จังหวัดตรัง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ และประธานวิปฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในขณะเดินทางมาร่วมโครงการสัมมนาสื่อสร้างสรรค์ และภูมิคุ้มกันอินเทอร์เน็ต สภาผู้แทนราษฎร ถึงการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในวันพุธที่ 17 กันยายนนี้ ที่พรรคร่วมรัฐบาลยังคงให้การสนับสนุนพรรคพลังประชาชน เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล พร้อมเสนอ 3 ส.ของพรรคพลังประชาชนเป็นนายกรัฐมนตรี คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์รี และ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์
ทั้งนี้ โดยส่วนตัวและพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า ไม่ว่าบุคคลใดในพรรคพลังประชาชน ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยังถือว่าเป็นรัฐบาลในรูปแบบเดิมๆ ที่ปัญหาของประเทศตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา ก็ยังคงอยู่โดยที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และมองว่า การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน เป็นการเตรียมการไปสู่การยุบสภา ซึ่งเป็นความต้องการที่จะให้การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ เพื่อนำไปสู่การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แล้วเสร็จ โดยเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบมาพากล
ดังนั้น ผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะต้องมีความสง่างาม และมีความรู้ความเข้าใจพอในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ เนื่องจากรัฐบาลพรรคพลังประชาชนเป็นผู้ที่ตั้งเงื่อนไข จนทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรฯที่มีความยืดเยื้อ และพลังของกลุ่มพันธมิตรถือเป็นพลังที่เป็นรูปธรรมที่มาจากประชาชนหลากหลายสาขาอาชีพ จึงถือเป็นพลังที่เข้มแข็งที่รัฐบาลไม่ควรมองข้าม
ส่วนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาตินั้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า หากเดินมาถึงจุดนี้แล้วนั้น การจัดตั้งรัฐบาลพิเศษถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะก่อนหน้านี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอไปนานแล้ว และเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด และเป็นเรื่องที่กลุ่มพันธมิตรให้การยอมรับ เพราะเป็นการเคลื่อนไหวของการเมืองใหม่ อย่างไรก็ตาม นายสาทิตย์ ยืนยันว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์มีความพร้อมตลอดเวลา ในการที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังถามถึงการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายสาทิตย์ ตอบว่า เกิดมาจากเงื่อนไขของรัฐบาลที่คนของรัฐบาลบางคนให้การสนับสนุน เมื่อมีประกาศใช้แล้วไม่เป็นผลก็ควรที่จะยกเลิก และถือเป็นผลดีต่อความมั่นใจของนักท่องเที่ยวที่จะกลับคืนมา พร้อมกับเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ในการผ่อนคลายความตรึงเครียดจากการควบคุม แต่ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะต้องเฝ้าระวังในช่วงนี้อย่างเต็มที่ เพราะหลังจากการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วนั้น สังเกตว่าทางกลุ่ม นปช.ได้มีการนัดรวมตัวกันอีกครั้ง ซึ่งอาจนำมาต่อการเกิดปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรกับกลุ่ม นปช.ที่ต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯมาโดยตลอด
