ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ต้าน ‘หมัก’ กลับมานั่งตำแหน่งนายกฯ พร้อมเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยเร็วเพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
รักษาการคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ คณาจารย์และตัวแทนนิสิต ไม่เห็นด้วยที่นายกรัฐมนตรีจะกลับมารับตำแหน่งใหม่ ระบุควรตระหนักถึงความเหมาะสมและความชอบธรรม รวมถึงความขัดแย้งและการยอมรับและไม่ยอมรับของประชาชน จึงอยากให้เห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองและขอให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็ว เพราะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวโดยรวม
วันนี้ (11 ก.ย.) ที่ห้องประชุมชั้น 2 ตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา ต.เขารูปช้าง อ.เมืองสงขลา นายศรุต จุ๋ยมณี รักษาการคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณสงขลา ได้เชิญคณาจารย์คณะนิติศาสตร์ ตัวแทนนิสิตคณะนิติศาสตร์ และประธานสภานิสิต มหาวิทยาลัยทักษิณเข้าร่วมประชุมหารือถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ โดยเปิดโอกาสให้ทั้งคณาจารย์ นิสิต แสดงความคิดเห็นซึ่งมี 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรกในเรื่องของผลจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษา ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งและอาจจะมีความเหมาะสมหรือไม่ที่นายกรัฐมนตรีจะกลับมารับตำแหน่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ส่วนประเด็นที่สอง ความเหมาะสมในการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารบ้านเมืองในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยทั้งคณาจารย์และนิสิตได้มีการแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง
หลังจากนั้น นายศรุต จุ๋ยมณี รักษาการคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณสงขลา ได้เปิดแถลงข่าวในนามของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณสงขลา ว่าไม่เห็นด้วยกับกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะกลับมารับตำแหน่งใหม่ ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 จะเปิดช่องให้ทางตามกฎหมาย แต่ก็จะมีเรื่องความเหมาะสมและความชอบธรรมมาประกอบด้วย อยากให้นายกรัฐมนตรีมีความตระหนักเล็งเห็นประโยชน์ของบ้านเมืองมากกว่าประโยชน์ส่วนตน อันไหนมันจะมากกว่ากัน
ขณะเดียวกันก็จะมีเรื่องของคดีที่ยังพัวพันกับนายกรัฐมนตรีอยู่อีก ซึ่งเป็นคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาทและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุก ตอนนี้รอศาลอุธรณ์ตัดสินในวันที่ 25 กันยายนนี้ หากศาลอุธรณ์ตัดสินก็จะมีผลทำให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากสมาชิกภาพไปอีก
ขณะเดียวกันก็ยังมีคดีเกี่ยวกับการยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งประมาณไม่เกิน 3 เดือน ศาลรัฐธรรมนูญก็จะตัดสิน ถ้าเกิดศาลตัดสินให้ยุบพรรคก็มีผลต่อสมาชิกภาพของนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นก็จะมีด่านรอนายกรัฐมนตรีอีก 2 ด่าน ประกอบกับปัญหาเรื่องความขัดแย้งเรื่องการยอมรับไม่ยอมรับทางด้านประชาชนในเรื่องนี้ก็ให้นายกรัฐมนตรีตระหนักชอบด้วยกฎหมายและความชอบธรรม
ส่วนประเด็นการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารบ้านเมืองในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งกฎหมายนี้น่าจะนำมาใช้ในกรณีที่บ้านเมืองเกิดภาวะกระทบถึงความมั่นคงของรัฐหรือภัยพิบัติต่างๆ แต่กรณีที่มีความเห็นขัดแย้งทางการเมืองไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน ภาวะปัจจุบันสามารถควบคุมได้ด้วยใช้กฎหมายปรกติ คงไม่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้ว่าปัจจุบันนี้ได้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปแล้ว
แต่การปฏิบัติจริงผู้บังคับใช้กฎหมายก็ไม่บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งขณะนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวกระทบเศรษฐกิจภาพรวมของบ้านเมือง เพราะฉะนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประกาศใช้ จึงควรที่จะประกาศยกเลิกโดยเร็ว
รักษาการคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ คณาจารย์และตัวแทนนิสิต ไม่เห็นด้วยที่นายกรัฐมนตรีจะกลับมารับตำแหน่งใหม่ ระบุควรตระหนักถึงความเหมาะสมและความชอบธรรม รวมถึงความขัดแย้งและการยอมรับและไม่ยอมรับของประชาชน จึงอยากให้เห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองและขอให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็ว เพราะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวโดยรวม
วันนี้ (11 ก.ย.) ที่ห้องประชุมชั้น 2 ตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา ต.เขารูปช้าง อ.เมืองสงขลา นายศรุต จุ๋ยมณี รักษาการคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณสงขลา ได้เชิญคณาจารย์คณะนิติศาสตร์ ตัวแทนนิสิตคณะนิติศาสตร์ และประธานสภานิสิต มหาวิทยาลัยทักษิณเข้าร่วมประชุมหารือถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ โดยเปิดโอกาสให้ทั้งคณาจารย์ นิสิต แสดงความคิดเห็นซึ่งมี 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรกในเรื่องของผลจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษา ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งและอาจจะมีความเหมาะสมหรือไม่ที่นายกรัฐมนตรีจะกลับมารับตำแหน่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ส่วนประเด็นที่สอง ความเหมาะสมในการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารบ้านเมืองในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยทั้งคณาจารย์และนิสิตได้มีการแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง
หลังจากนั้น นายศรุต จุ๋ยมณี รักษาการคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณสงขลา ได้เปิดแถลงข่าวในนามของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณสงขลา ว่าไม่เห็นด้วยกับกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะกลับมารับตำแหน่งใหม่ ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 จะเปิดช่องให้ทางตามกฎหมาย แต่ก็จะมีเรื่องความเหมาะสมและความชอบธรรมมาประกอบด้วย อยากให้นายกรัฐมนตรีมีความตระหนักเล็งเห็นประโยชน์ของบ้านเมืองมากกว่าประโยชน์ส่วนตน อันไหนมันจะมากกว่ากัน
ขณะเดียวกันก็จะมีเรื่องของคดีที่ยังพัวพันกับนายกรัฐมนตรีอยู่อีก ซึ่งเป็นคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาทและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุก ตอนนี้รอศาลอุธรณ์ตัดสินในวันที่ 25 กันยายนนี้ หากศาลอุธรณ์ตัดสินก็จะมีผลทำให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากสมาชิกภาพไปอีก
ขณะเดียวกันก็ยังมีคดีเกี่ยวกับการยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งประมาณไม่เกิน 3 เดือน ศาลรัฐธรรมนูญก็จะตัดสิน ถ้าเกิดศาลตัดสินให้ยุบพรรคก็มีผลต่อสมาชิกภาพของนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นก็จะมีด่านรอนายกรัฐมนตรีอีก 2 ด่าน ประกอบกับปัญหาเรื่องความขัดแย้งเรื่องการยอมรับไม่ยอมรับทางด้านประชาชนในเรื่องนี้ก็ให้นายกรัฐมนตรีตระหนักชอบด้วยกฎหมายและความชอบธรรม
ส่วนประเด็นการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารบ้านเมืองในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งกฎหมายนี้น่าจะนำมาใช้ในกรณีที่บ้านเมืองเกิดภาวะกระทบถึงความมั่นคงของรัฐหรือภัยพิบัติต่างๆ แต่กรณีที่มีความเห็นขัดแย้งทางการเมืองไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน ภาวะปัจจุบันสามารถควบคุมได้ด้วยใช้กฎหมายปรกติ คงไม่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้ว่าปัจจุบันนี้ได้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปแล้ว
แต่การปฏิบัติจริงผู้บังคับใช้กฎหมายก็ไม่บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งขณะนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวกระทบเศรษฐกิจภาพรวมของบ้านเมือง เพราะฉะนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประกาศใช้ จึงควรที่จะประกาศยกเลิกโดยเร็ว
