ศูนย์ข่าวภูเก็ต - “ประธานกลุ่มยามฯ ภูเก็ต” ชี้หาก “กลุ่มพลังใต้” มีเจตนาบริสุทธิ์ ก็สามารถเคลื่อนไหวได้เต็มที่ตามสิทธิรัฐธรรมนูญ แต่หากแอบแฝงถูกคนใต้ซัดแน่ อีกทั้งยังถูกสังคมลงโทษ เพราะแพ้ภัยตัวเอง เชื่อกลุ่มฯ รู้นิสัยคนใต้ดี เผยหนึ่งในแกนนำเคยลงสมัคร ส.ส.ภูเก็ต พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา
นายณัชจรงค์ เอกเพิ่มทรัพย์ ประธานกลุ่มยามเฝ้าแผ่นดินภูเก็ต กล่าวถึงกรณีที่ “กลุ่มพลังใต้” ซึ่งมีแกนนำทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย นายสุขสันต์ เกษตรกาลาม์ จากจังหวัดพัทลุง,นายสารวิทย์ บุษยรัตน์ จากจังหวัดนครศรีธรรมราช, นายสฤษฎ์เดช ธนาวุฒิ จากจังหวัดนครศรีธรรมราช, นายชาญวิทย์ นพคุณ จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี, นายปราโมช มะหมัด ตัวแทนชาวมุสลิมภาคใต้, นายชวิศ ตุ้งกู จากจังหวัดภูเก็ต และนายสุเทพ ขวัญละมัย จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี
โดยมีการแถลงเปิดตัวกับสื่อมวลชนในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ไปแล้วเมื่อวานนี้ (5 ก.ค.) ที่โรงแรมภูเก็ตทาวน์ อินน์ อ.เมืองภูเก็ต ว่า ถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของกลุ่มบุคคลที่สามารถกระทำได้ เพราะรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัด บุคคลย่อมมีความเห็นต่าง และคิดต่างได้ ยิ่งหากเจตนารมณ์ของกลุ่ม “พลังใต้” บริสุทธิ์แล้วก็เป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน แต่ขอให้การเคลื่อนไหวของของ “กลุ่มพลังใต้” ใช้หลักการเดียวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย คือ สงบ สันติ และอหิงสา
เพราะเชื่อว่า หาก “กลุ่มพลังใต้” มีเจตนาแอบแฝงในการก่อตั้งกลุ่ม และการเคลื่อนไหวแล้ว ก็จะแพ้ภัยตัวเองอย่างแน่นอน เพราะคนพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะชาวภูเก็ตจะไม่ยอมรับการเคลื่อนไหวเหล่านั้นอย่างแน่นอน
ประธานกลุ่มยามเฝ้าแผ่นดินภูเก็ต กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของกลุ่มยามเฝ้าแผ่นดินภูเก็ต ไม่ได้หวั่นเกรงกับการเกิดขึ้นของ “กลุ่มพลังใต้” แต่อย่างใด เพราะการเคลื่อนไหวของกลุ่มฯ ที่ผ่านมา ไม่เคยก่อ และยั่วยุให้เกิดความรุนแรง และยืนยันว่าการรวมตัวขับไล่รัฐมนตรีของรัฐบาลนอมินีที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเลือกเป็นรายบุคคลไป ซึ่งชัดเจนว่าพวกเราต่อต้านแบบอารยะขัดขืน อยากให้ “กลุ่มพลังใต้” มองเจตนาการรวมตัวของกลุ่มต่างๆ ว่า ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร และทำเพื่อใคร
ที่สำคัญกลุ่มยามเฝ้าแผ่นดินภูเก็ต สมาชิกทุกคนไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องการกับการเมืองทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองท้องถิ่น หรือการเมืองระดับชาติ เราไม่เคยลงรับสมัครเลือกตั้งใดๆ ทั้งสิ้น ทุกคนเป็นนักธุรกิจ คนสวน และรับจ้าง จงมองเจตนาในการเคลื่อนไหวมากกว่าอย่างอื่น จึงไม่ต้องเกรงว่าจะถูกสังคมมองอย่างไร และการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาประชาชนชาวภูเก็ตรับรู้โดยทั่วกันแล้ว
“ไม่ว่ากลุ่มใดจะเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ ถือว่า เป็นสิทธิตามชอบธรรมที่สามารถดำเนินการได้ แต่หากการก่อตั้งของคุณทำเพียงเพื่อคนคนเดียว คนกลุ่มเดียว และทำตามใบสั่ง เชื่อได้เลยว่า อยู่ไม่ได้แน่ เพราะคุณย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า นิสัยของคนภาคใต้ที่แท้จริงเป็นอย่างไร คุณจะต้องแพ้ภัยตัวเอง จะได้รับการลงโทษที่สาสมจากสังคม แบบที่คุณเองก็คิดไม่ถึง” ประธานกลุ่มยามเฝ้าแผ่นดินกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับนายชวิศ ตุ้งกู หนึ่งในแกนนำ “กลุ่มพลังใต้” อดีตเคยลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ภูเก็ต ในนามพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ได้หมายเลข 7 สมัยที่การเลือกตั้งต้องใช้หลักผ่านเกณฑ์ 20% ส่วนแกนนำที่เหลืออีกบางรายเคยมีการเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทยเดิมในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และเป็นคนจากต่างจังหวัด ที่เดินทางเข้ามาทำงาน และอาศัยในพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีของคนในพื้นที่ เพราะเคยเห็นหน้าเห็นตากันเป็นอย่างดี