ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ –นายกสมาคมรถบรรทุกภาคใต้ตอนล่าง แนะทางรอดจากภาวะน้ำมันแพง ชี้ ผู้นำประเทศแถบเอเชียควรรวมตัวเจรจากลุ่มโอเปกยกเลิกเพดานการผลิตน้ำมัน เพื่อผ่อนคลายปัญหาปริมาณน้ำมันตึงตัว และราคาผันผวนซึ่งมีการเก็งกำไรสูง พร้อมจี้ “หมัก” ตรึงราคาดีเซล 6 เดือนช่วยผู้ประกอบการรถบรรทุก ให้สามารถปรับตัวได้ทัน และหันมาสนใจปากท้องชาวบ้าน ด้วยการดูแลกลไกราคาน้ำมันภายในประเทศไม่ให้มีการเอาเปรียบผู้บริโภค และหันมาควบคุมต้นทุนสินค้าก่อนที่จะมีการขึ้นราคา
สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประเทศผู้นำเข้าน้ำมันทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ (กลุ่มโอเปก) คงกำลังการผลิตน้ำมันไว้ที่วันละ 32 ล้านบาร์เรลนั้น
นายพิสิทธิ์ แซ่โง้ว นายกสมาคมรถบรรทุกภาคใต้ตอนล่าง เปิดเผยว่า แม้ว่าประเทศผู้นำเข้าน้ำมันต้องปรับตัวรับกับสภาพราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น แต่กลุ่มโอเปกก็ควรที่จะตระหนักถึงความเดือดร้อนจากผู้ใช้น้ำมันทั่วโลกด้วย ซึ่งในประเทศแถบเอเชีย เป็นกลุ่มผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และอินเดียซึ่งมีความต้องการน้ำมัน เพื่อใช้พัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศรายใหญ่
แนวทางการแก้ไขความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำมัน ที่ได้ผลเป็นรูปธรรม คือ ผู้นำประเทศในแถบเอเชียควรรวมตัวกันเจรจากับกลุ่มโอเปก เพื่อให้เพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ เพื่อลดการเก็งกำไรให้น้อยลง และเพิ่มเสถียรภาพของราคา นอกเหนือจากที่แต่ละประเทศรณรงค์ให้มีการใช้พลังงานทดแทนเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นนโยบายของแต่ละประเทศ ที่พยายามแก้ปัญหาลดการพึ่งพิงน้ำมันเชื้อเพลิงในระยะยาวให้มากที่สุด แต่ความก้าวหน้าในแต่ละประเทศนั้นไม่ได้เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะประเทศไทย ที่นโยบายการใช้พลังงานทดแทนอยู่ในระยะเริ่มแรก
นายกสมาคมรถบรรทุกภาคใต้ตอนล่าง กล่าวต่อด้วยว่า ในส่วนของรัฐบาลไทยเอง ซึ่งมีบทบาทต่อการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจ อุตสาหกรรม ที่มีความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูง ก็ควรเข้ามาดูแลและตรวจสอบที่มาของราคาน้ำมันภายในประเทศด้วย ว่ามีช่องว่างที่มีการปิดบังซ่อนเร้น เก็งกำไรให้ผู้บริโภคจำยอมแบกภาระราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงเกินจริงหรือไม่
โดยเฉพาะที่มีการอิงราคาน้ำมัน ณ ตลาดสิงคโปร์ซึ่งมีราคาสูง ทั้งที่ซื้อน้ำมันดิบมาจากตะวันออกกลางในอีกราคาหนึ่งที่ถูกกว่า ตลอดจนวิกฤตราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ ปตท.ได้แปรรูปเป็นรัฐวิสาหกิจที่สามารถทำกำไรได้สูง แต่ประชาชนต้องซื้อน้ำมันในราคาที่แพงขึ้นทุกวัน ขณะที่รัฐบาลปล่อยให้มีการปรับราคาน้ำมันขึ้นทุกสัปดาห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย
สำหรับภาคใต้ตอนล่างมีรถบรรทุกขนส่งสินค้าไม่น้อยกว่า 6,000 คัน โดยใช้วิธีเติมน้ำมันตามปั๊มบริการและซื้อน้ำมันใส่แท็งก์เก็บไว้ที่บริษัทด้วย แต่ภายหลังราคาน้ำมันปรับขึ้นทุกสัปดาห์ ทำให้ต้องมีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อซื้อน้ำมันสูงขึ้นเท่าตัว และบางครั้งก่อนที่จะมีการปรับขึ้นราคาน้ำมัน ก็ไม่มีน้ำมันจำหน่ายให้แท็งก์เลย แต่ด้วยปริมาณการซื้อน้ำมันเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการจึงต้องผูกขาดซื้อกับ ปตท.โดยปริยาย เพราะมีราคาถูกกว่าปั๊มอื่นแม้ว่าจะเป็นเงินเพียงไม่กี่สตางค์ต่อลิตรก็ตาม
ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลประกาศราคาน้ำมันให้นิ่งเป็นระยะเวลา 6 เดือน ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นสักครั้ง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวอยู่ได้ เนื่องจากผู้ประกอบการรถบรรทุกไม่สามารถจะปรับราคาค่าขนส่งกับลูกค้าได้ทันตามสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นทุกสัปดาห์ เพราะเป็นการเจรจาค่าขนส่งเกิดขึ้น ณ ราคาน้ำมันปัจจุบัน แต่การบริการเกิดขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลนำโดย นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศร่วม 4 เดือน ได้มีการปล่อยให้ราคาสินค้าต่างๆ ขึ้นโดยไม่สนใจจะควบคุมและตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นข้าว น้ำตาล หรือน้ำมันเชื้อเพลิง แม้แต่สินค้าอื่นๆ ก็มีการขึ้นราคา ที่ไม่สะท้อนต้นทุนแท้จริง ล่าสุด ผู้ค้ายางรถยนต์ก็จะปรับราคาอีก 20% เร็วๆ นี้ จึงอยากให้รัฐบาลมีการตรวจสอบและหาแนวทางแก้ไขผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อไม่ซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนที่มีค่าครองชีพและเงินเฟ้อสูงขึ้น ขณะที่รายได้ยังเท่าเดิม