ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ผู้ตรวจการแผ่นดิน เผยประชาชนร้องเรียนเรื่องไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐสูงสุด 8 ปีมีการร้องเรียน 18,092 เรื่อง คุยแก้ปัญหาได้เกือบ 95%
พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดนิทรรศการและการแข่งขันตอบปัญหาในการสัมมนา เรื่อง “ผู้ตรวจการแผ่นดินพบประชาชนในส่วนภูมิภาค” ซึ่งทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้น โดยมีโรงเรียนในจังหวัดภูเก็ตจำนวน 11 แห่ง ส่งนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย จำนวน 350 คนเข้าร่วม ณ โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ว่า
ปัญหาที่ประชาชนเข้ามาร้องเรียนว่า ส่วนใหญ่จะเป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะเรื่องของปัญหาที่ดิน การออกเอกสารสิทธิต่างๆ การปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ซึ่งที่ผ่านมาก็สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ในระดับที่น่าพอใจ จากจำนวนเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาสามารถที่จะดำเนินการแก้ไขได้เกือบ 95% ของปัญหาที่มีการร้องเรียน
ด้าน นายปราโมทย์ โชติมงคล ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการจัดตั้งสำนักงานตรวจการแผ่นดินเมื่อปี 2543 ปรากฎว่า มีเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาจำนวน 18,092 เรื่อง ดำเนินการแก้ไขแล้ว 17,179 เรื่องคิดเป็นร้อยละ 94.95 และอยู่ระหว่างการดำเนินการประมาณ 913 เรื่อง
หน่วยงานที่มีการร้องเรียนเข้ามาเป็นลำดับต้นๆ คือ กระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับเรื่องของที่ดิน เช่น การออกโฉนดโดยมิชอบ ปัญหากรรมสิทธิ์ในการถือครอง ความประพฤติของเจ้าหน้าที่ เป็นต้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การทุจริต ละเลยการปฎิบัติหน้าที่ เป็นต้น ตำรวจ เช่น การดำเนินคดีล่าช้า กลั่นแกล้ง บิดเบือน อำพรางรูปคดี เป็นต้น
นายปราโมทย์ กล่าวว่า จากแนวโน้มของการร้องเรียนที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ก็จะเน้นเรื่องของการป้องกันโดยการพยายามเข้าไปหาสาเหตุโดยมีการตั้งทีมในการเก็บข้อมูล และนำมาวิเคราะห์ จากนั้นก็ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ที่ต้นเหตุ
จากการศึกษาข้อมูลที่ผ่านมาพบว่ามีสาเหตุอยู่ 2 ประการ คือ ระเบียบกฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ ซึ่งไม่เหมาะสมกับช่วงเวลา และประชาชนเข้าถึงลำบาก กับเจ้าหน้าที่ของรัฐประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสม มีทัศนคติที่ไม่ดีกับการทำงาน
พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดนิทรรศการและการแข่งขันตอบปัญหาในการสัมมนา เรื่อง “ผู้ตรวจการแผ่นดินพบประชาชนในส่วนภูมิภาค” ซึ่งทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้น โดยมีโรงเรียนในจังหวัดภูเก็ตจำนวน 11 แห่ง ส่งนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย จำนวน 350 คนเข้าร่วม ณ โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ว่า
ปัญหาที่ประชาชนเข้ามาร้องเรียนว่า ส่วนใหญ่จะเป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะเรื่องของปัญหาที่ดิน การออกเอกสารสิทธิต่างๆ การปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ซึ่งที่ผ่านมาก็สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ในระดับที่น่าพอใจ จากจำนวนเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาสามารถที่จะดำเนินการแก้ไขได้เกือบ 95% ของปัญหาที่มีการร้องเรียน
ด้าน นายปราโมทย์ โชติมงคล ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการจัดตั้งสำนักงานตรวจการแผ่นดินเมื่อปี 2543 ปรากฎว่า มีเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาจำนวน 18,092 เรื่อง ดำเนินการแก้ไขแล้ว 17,179 เรื่องคิดเป็นร้อยละ 94.95 และอยู่ระหว่างการดำเนินการประมาณ 913 เรื่อง
หน่วยงานที่มีการร้องเรียนเข้ามาเป็นลำดับต้นๆ คือ กระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับเรื่องของที่ดิน เช่น การออกโฉนดโดยมิชอบ ปัญหากรรมสิทธิ์ในการถือครอง ความประพฤติของเจ้าหน้าที่ เป็นต้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การทุจริต ละเลยการปฎิบัติหน้าที่ เป็นต้น ตำรวจ เช่น การดำเนินคดีล่าช้า กลั่นแกล้ง บิดเบือน อำพรางรูปคดี เป็นต้น
นายปราโมทย์ กล่าวว่า จากแนวโน้มของการร้องเรียนที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ก็จะเน้นเรื่องของการป้องกันโดยการพยายามเข้าไปหาสาเหตุโดยมีการตั้งทีมในการเก็บข้อมูล และนำมาวิเคราะห์ จากนั้นก็ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ที่ต้นเหตุ
จากการศึกษาข้อมูลที่ผ่านมาพบว่ามีสาเหตุอยู่ 2 ประการ คือ ระเบียบกฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ ซึ่งไม่เหมาะสมกับช่วงเวลา และประชาชนเข้าถึงลำบาก กับเจ้าหน้าที่ของรัฐประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสม มีทัศนคติที่ไม่ดีกับการทำงาน