นครศรีธรรมราช – “เทพไท เสนพงศ์” เปิดโปงขบวนการโจมตี ปชป.และองคมนตรี ด้วยเอกสารใบปลิว จดหมายเปิดผนึกส่งถึงหน่วยงานราชการเพื่อสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคม ขณะเดียวกัน กลับมีการปล่อยให้มีเว็บไซต์ไฮ-ทักษิณ ตั้งกระทู้ถามตอบท้าทายอำนาจรัฐบ่อยครั้ง
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช และผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงเรื่องเอกสารโจมตีพาดพิงไปยังองคมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ และตัวบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ เหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่ตัวนายชวนเองรวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประสบพบกับตัวเอง
โดยเฉพาะตนเองนั้นทุกครั้งที่มีการสัมภาษณ์พาดพิงไปถึงระบอบทักษิณ ต้องมีใบปลิว หรือจดหมายเปิดผนึก รวมไปถึงจดหมายที่เวียนทำลายพรรคประชาธิปัตย์ องคมนตรี เวียนไปยังหน่วยงานราชการ บริษัทห้างร้านเอกชน และกำชับว่าให้ช่วยกันเผยแพร่ต่อไปเป็นการสร้างความแตกแยกในสังคม วันนี้รัฐบาลกำลังท้าทายและเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์แสดงหลักฐาน
“ประชาธิปัตย์กำลังชี้เบาะแสให้แล้ว สำนึกหน่อยว่าเป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบจะต้องดำเนินการ เหมือนกับมีโจรมาปล้นแล้วมีคนตะโกนบอกว่ามีโจรปล้นต่อไปต้องเป็นเรื่องของบ้านเมืองที่จะต้องไปตามจับโจร ไม่ใช่ปล่อยให้เจ้าทุกข์ หรือผู้เสียหายจับโจรและมามอบให้เจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม แม้มีหลักฐานชัดเจนยังไม่มั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะจัดการกับเรื่องนี้ได้ เพราะอย่างน้อยผู้ที่น่าจะรู้เห็นกับขบวนการกำลังเดินเพ่นพ่านอยู่ในทำเนียบรัฐบาลทุกวัน และห้อมล้อมตัวนายกรัฐมนตรี บางคนเป็นหัวโจกขบวนการนี้ได้ดิบได้ดีเป็นรัฐมนตรี รองประธานสภา รองโฆษก ถ้ารัฐมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหานี้เหมือนกับที่พูด ไม่น่าจะเรียกร้องหาหลักฐานหรือผู้แจ้งความร้องทุกข์” ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายเทพไท กล่าวต่อว่า กลไกของรัฐบาลในการติดตามทั้งตำรวจสันติบาล สำนักข่าวกรอง สภาความมั่นคง แต่กลับปล่อยปละละเลยที่เห็นชัดเจน คือ เว็บไซต์ไฮทักษิณ ที่มีการตั้งกระทู้ตอบในลักษณะพาดพิงถึงองคมนตรีและสถาบันเบื้องสูงบ่อยครั้ง รัฐบาลไม่ได้ใส่ใจหรือมีท่าทีต่อเว็บไซต์รายนี้เสียที และไหนจะเรื่องการที่นายตำรวจคนหนึ่งไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายจักรภพ วันนี้เรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว เอาจริงเอาจังเหมือนกับคดีอื่นๆ หรือไม่เช่นเรื่องคดีบัตรปลอมของ กกต.ที่รัฐบาลติดตามอย่างกระชั้นชิด ไม่อยากจะให้เหมือนรัฐบาลก่อนๆ ในการปฏิบัติหน้าที่การทำงานแบบสองมาตรฐาน