ศูนย์ข่าวภูเก็ต- กลุ่มทุนท้องถิ่นภูเก็ต “ดิ อันดามัน ฟู้ด กรุ๊ป” ผงาดธุรกิจร้านอาหารที่ซื้อแฟรนไชส์ ทำยอดขายสูงถึง 100 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา เตรียมทุ่มทุนอีก 45 ล้านบาท จากที่ลงมาแล้ว 70 ล้านบาท ขยายร้านอาหารทั้งที่ซื้อแฟรนไชส์และทำเอง 4 ร้านในปี 51 นี้ รองรับการขยายตัวธุรกิจอาหารในภูเก็ตที่มีแนวโน้มเติบโตตามธุรกิจท่องเที่ยว
นายธนเสฎฐ์ กุลวีระอารีย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ดิ อันดามัน ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ด้านอาหาร ประกอบด้วย โออิชิ เอ็กซเพรส, โออิชิ ราเมน, โออิชิ ดิลิเวอรี, อิน แอนด์ เอ้าท์ เดอะ เบเกอรี คาเฟ่ และร้าน เดอะ พิซซ่า คอมปานี สาขา เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต
เมื่อปี 2548 ธุรกิจในเครือได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ ยอดขายลดต่ำลงมากเหลือแค่ 52 ล้านบาท จากที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาภูเก็ตลดน้อยลงจากความไม่มั่นใจในเรื่องของสึนามิ แต่เมื่อการท่องเที่ยวของภูเก็ตกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่งในปี 2549 ธุรกิจในเครือ ดิ อันดามันฯ ก็ได้รับผลต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นด้วย ทำให้ยอดขายขยับเพิ่มเป็น 80 ล้านบาท เติบโตจากปี 2548 ถึง 60%
ในปี 2550 ธุรกิจอาหารในเครือทั้งหมดสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 100 ล้านบาท เติบโตสูงจากปี 49 ถึง 15% โดยมียอดผู้ใช้บริการร้านอาหารทั้งหมดในเครือสูงถึง 420,920 ล้านคน แยกเป็นคนไทยประมาณ 60% นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 40% และในปี 2551 นี้ โดยร้านโออิชิ เอ็กซเพรส เป็นร้านที่ทำยอดขายสูงสุดถึง 50% รองลงมาร้านเดอะพิซซ่า คอมปานี สาขาเซ็นทรัลภูเก็ต 20% โออิชิราเมน 10% อิน แอนด์ เอ้าท์ เดอะ เบเกอรี คาเฟ่ 7% และที่เหลืออีก 10 กระจายอยู่ในธุรกิจอื่นๆ
“จากที่ร้านโออิชิเป็นร้านที่ทำรายได้สูงสุดและลูกค้ามาใช้บริการสูง ทั้งที่เป็นคนภูเก็ตและลูกค้ากลุ่มทัวร์ทำให้ร้านที่มีอยู่ในขณะนี้ค่อนข้างจะแออัดในบางช่วงเวลา จึงได้มีการขยายพื้นที่เพิ่มอีก 200 ตางรางเมตร และห้องประชุม เพื่อรองรับกลุ่มประชุมสัมมนาด้วย” นายธนเสฎฐ์ กล่าวและว่า
สำหรับในปี 2551 กลุ่มดิ อันดามันฯ ได้วางเป้ายอดขายของร้านอาหารในเครือทั้งหมดให้เพิ่มสูงขึ้นอีก 5% หรือ 110 ล้านบาท พร้อมทั้งได้วางแผนในการขยายการลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 4 ร้าน โดยในขณะนี้ได้ลงทุนในส่วนของร้านอาหารที่ไม่ได้ซื้อแฟรนไชส์ คือ ร้านอาหาร “Simply Bla Bar (ซิมพลีย์ บลา บาร์) ในซอยบางใหญ่ ตรงข้ามกับร้าน โออิชิเอ็กซ์เพรส อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์ เป็นร้านอาหาร Thai Fusion Food ซึ่งเป็นร้านอาหารแนวใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มคนทำงานวัย 25-40 ปี
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะซื้อแฟรนไชส์ร้านอาหารในกลุ่มโออิซิ คือ “ซาบูซาบู” มาเปิดที่ภูเก็ต ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจาคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยในเร็วๆนี้ รวมทั้งกำลังเจรจาที่จะซื้อแฟรนไชสร้านอาหาร เดอะ พิซซ่า คอมปานี สาขาโลตัสจากทางกลุ่มไมเนอร์กรุ๊ป ซึ่งก็มีความคืบหน้าไปมากแล้วเช่นกัน
รวมทั้งมีโครงการที่จะขยายร้านอาหารไปยังโครงการรอยัล ภูเก็ต มารีนา ซึ่งเป็นมารีนาที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในภูเก็ตขณะนี้ และมีโครงการที่จะนำเบเกอรีแช่แข็งจากฮ่องกงเข้ามาจำหน่าย และส่งให้แก่โรงแรมและร้านอาหารที่ไม่มีเชฟด้านเบเกอรีในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้
“การขยายร้านอาหารที่เป็นแฟรนไชส์ กลุ่มฯเราจะเน้นในการขยายสาขาร้านอาหารของทางโออิชิและทางไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ซึ่งทั้ง 3-4 แห่งที่จะขยายเพิ่มคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 45 ล้านบาท จากเดิมตลอดเวลา 3 ปี ได้ใช้เงินลงทุนไปแล้วทั้งสิ้น 70 ล้านบาท”
นายธนเสฎฐ์ ยังกล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารในภูเก็ต ว่า แนวโน้มการเติบโตดีมาก ทั้งกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนท้องถิ่นภูเก็ตที่สไตล์การรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป นิยมออกมารับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น และนิยมรับประทานอาหารแนวสมัยใหม่มากยิ่งขึ้นด้วย และกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มเข้ามาภูเก็ตมากยิ่งขึ้น
สำหรับ “ดิ อันดามัน ฟู้ด กรุ๊ป” เกิดขึ้นจากการรวมตัวของนักธุรกิจรุ่นใหม่ของภูเก็ต ที่เข้ามาดำเนินการธุรกิจด้านอาหารโดยการซื้อแฟรนไชส์ร้านอาหารชื่อดังมาเปิดให้บริการในภูเก็ตเป็นรายแรกๆ ในช่วงที่ภูเก็ตเริ่มมีห้างสรรพสินค้า ประกอบด้วย นายธนเสฎฐ์ กุลวีระอารีย์ กรรมการผู้จัดการ นายพีรัชศักดิ์ ชุณหรัชพันธ์ ผู้จัดการทั่วไปส่วนการตลาด นายชูโชค สวนดี ผู้จัดการทั่วไปส่วนปฏิบัติการ และนายอวิรุทธ์ เตือนภักดีกุล ผู้จัดการทั่วไปส่วนสำนักงาน
ธุรกิจร้านอาหารในเครือ ดิ อันดามันฯถือว่าประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ สามารถทำยอดขายได้สูงถึงปีละ 100 ล้านบาท ภายหลังจากที่ฝ่าวิกฤตทางด้านการท่องเที่ยวของภูเก็ตในปี 2548 ที่นักท่องเที่ยวหายไปเกือบทั้งหมดจากเหตุการณ์สึนามิ ร้านอาหารในเครือ ดิ อันดามันฯได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะกลุ่มลูกค้าเกือบครึ่งหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่เมื่อการท่องเที่ยวภูเก็ตกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง ธุรกิจร้านอาหารของดิ อันดามัน ฟู้ด กรุ๊ปก็ฟื้นตัวตามภาวการณ์ท่องเที่ยว และแนวโน้มการเติบโตของร้านอาหารในภูเก็ต