ตรัง – ทูตพาณิชย์และกงสุลใหญ่อินโดนีเซียเยือนเมืองตรัง ร่วมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นส่งเสริมการค้าสองฝ่าย โดยไทยเสนอตั้งคณะกรรมการ 2 ฝ่าย เป็นมือประสานการท่องเที่ยวเกาะสุมาตรา ของประเทศอินโดนีเซีย กับ 5 จังหวัดฝั่งอันดามันของประเทศไทย เพื่อร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศให้เติบโตไปพร้อมกัน
มิสเตอร์ซาฟูดิน ยาส (Mr.Syafrudin Yahya) ทูตพาณิชย์ประเทศอินโดนีเซีย ประจำประเทศไทย พร้อมด้วย มิสเตอร์อัฟฟา อาสบวน (Mr.Affan Hasibuan) กงสุลใหญ่ประเทศอินโดนีเซีย ประจำจังหวัดสงขลา มิสเตอร์มูฮัมหมัด ริสกิ ซาฟา (Mr. Mochammad Rizki Safart ) กงสุลเศรษฐกิจ ประเทศอินโดนีเซีย ประจำจังหวัดสงขลา และคณะได้เดินทางมาร่วมประชุมหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น ด้านการส่งเสริมการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดนีเซีย ที่ห้องประชุมสำนักงานหอการค้าจังหวัดตรัง
โดยมีส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในจังหวัดตรัง ประกอบด้วย นายสลิล โตทับเที่ยง ประธานหอการค้าจังหวัดตรัง นายสุรพล สุวรรณกุล พาณิชย์จังหวัดตรัง นายทวี จันทร์สกุล อุตสาหกรรมจังหวัดตรัง นายสถาพร ขันธรักษ์วงศ์ ประธานชมรมธนาคารจังหวัดตรัง นายวิชัย วิระพรสวรรค์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตรัง และนายวิชัย รัตตมณี นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตรัง ได้เข้าร่วมทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลในโอกาสดังกล่าว
ทั้งนี้ ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องของสินค้าส่งออกของประเทศไทยที่ประเทศอินโดนีเซียมีความต้องการสูงคือ สินค้าประเภทอุตสาหกรรมยานยนต์ ประเภทเคมีภัณฑ์ และประเภทการเกษตร โดยเฉพาะข้าวและน้ำตาล นอกจากนั้น ยังได้มีการพูดคุยถึงด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียนั้นถือว่ามีทั้งสภาพภูมิประเทศและทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่ลักษณะคล้ายคลึงกับประเทศไทย
ดังนั้น นายสุรพล สุวรรณกุล พาณิชย์จังหวัดตรัง จึงได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา จำนวน 2 ฝ่าย เกี่ยวกับด้านการท่องเที่ยวระหว่างฝ่ายเกาะสุมาตรา ของประเทศอินโดนีเซีย กับฝ่าย 5 จังหวัดฝั่งอันดามันของประเทศไทย เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ในการพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยน ในการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม คณะจากสถานทูตและสถานกงสุล ประเทศอินโดนีเซีย ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับทางด้านการเกษตรที่ทางประเทศอินโดนีเซียถือว่าประสบความสำเร็จสูง ซึ่งปัจจุบันในจังหวัดตรังและในภาคใต้ ก็ให้ความนิยมปลูกกันมากแล้วก็คือ ปาล์มน้ำมัน จากนั้นคณะสถานทูตและสถานกงสุล ประเทศอินโดนีเซียได้เดินทางไปเยี่ยมชมท่าเทียบเรือกันตัง อำเภอกันตัง ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในอนาคต
มิสเตอร์ซาฟูดิน ยาส (Mr.Syafrudin Yahya) ทูตพาณิชย์ประเทศอินโดนีเซีย ประจำประเทศไทย พร้อมด้วย มิสเตอร์อัฟฟา อาสบวน (Mr.Affan Hasibuan) กงสุลใหญ่ประเทศอินโดนีเซีย ประจำจังหวัดสงขลา มิสเตอร์มูฮัมหมัด ริสกิ ซาฟา (Mr. Mochammad Rizki Safart ) กงสุลเศรษฐกิจ ประเทศอินโดนีเซีย ประจำจังหวัดสงขลา และคณะได้เดินทางมาร่วมประชุมหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น ด้านการส่งเสริมการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดนีเซีย ที่ห้องประชุมสำนักงานหอการค้าจังหวัดตรัง
โดยมีส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในจังหวัดตรัง ประกอบด้วย นายสลิล โตทับเที่ยง ประธานหอการค้าจังหวัดตรัง นายสุรพล สุวรรณกุล พาณิชย์จังหวัดตรัง นายทวี จันทร์สกุล อุตสาหกรรมจังหวัดตรัง นายสถาพร ขันธรักษ์วงศ์ ประธานชมรมธนาคารจังหวัดตรัง นายวิชัย วิระพรสวรรค์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตรัง และนายวิชัย รัตตมณี นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตรัง ได้เข้าร่วมทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลในโอกาสดังกล่าว
ทั้งนี้ ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องของสินค้าส่งออกของประเทศไทยที่ประเทศอินโดนีเซียมีความต้องการสูงคือ สินค้าประเภทอุตสาหกรรมยานยนต์ ประเภทเคมีภัณฑ์ และประเภทการเกษตร โดยเฉพาะข้าวและน้ำตาล นอกจากนั้น ยังได้มีการพูดคุยถึงด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียนั้นถือว่ามีทั้งสภาพภูมิประเทศและทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่ลักษณะคล้ายคลึงกับประเทศไทย
ดังนั้น นายสุรพล สุวรรณกุล พาณิชย์จังหวัดตรัง จึงได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา จำนวน 2 ฝ่าย เกี่ยวกับด้านการท่องเที่ยวระหว่างฝ่ายเกาะสุมาตรา ของประเทศอินโดนีเซีย กับฝ่าย 5 จังหวัดฝั่งอันดามันของประเทศไทย เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ในการพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยน ในการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม คณะจากสถานทูตและสถานกงสุล ประเทศอินโดนีเซีย ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับทางด้านการเกษตรที่ทางประเทศอินโดนีเซียถือว่าประสบความสำเร็จสูง ซึ่งปัจจุบันในจังหวัดตรังและในภาคใต้ ก็ให้ความนิยมปลูกกันมากแล้วก็คือ ปาล์มน้ำมัน จากนั้นคณะสถานทูตและสถานกงสุล ประเทศอินโดนีเซียได้เดินทางไปเยี่ยมชมท่าเทียบเรือกันตัง อำเภอกันตัง ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในอนาคต