ผู้จัดการรายวัน - เหมราชฯทุ่มงบ 4,000 ล้านบาทลุยซื้อที่ดินขายนิคม-ลงทุนสร้างโรงงาน-สาธารณูปโภค หลังอุตสาหกรรมยานยนต์แห่ลงทุนในไทย ยันแม้เศรษฐกิจไม่ดีแต่ภาคอุตสาหกรรมยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ระบุมีที่ดินรอขายถึง 10,000 ไร่ เผยเลื่อนลงทุนคอนโดฯ รอดูภาวะตลาดอสังหาฯ ยอดขายที่ดินปีที่ผ่านมา 1,264 ไร่ ส่วนยอดขายเดอะ พาร์ค รอรับรู้ในปีนี้ 1,000 ล้านบาท
นายเดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2551 บริษัทเตรียมเงินลงทุน 4,000 ล้านบาท เพื่อที่ดินเพิ่มในนิคมอุตสาหกรรมจำนวน 500 ไร่ การสร้างโรงงานสำเร็จรูปขนาดเล็กหรือ เอสเอ็มอี แฟคตอรี่ รูปแบบให้เช่าและขาย ซึ่งในปีนี้มีแผนจะก่อสร้างเพิ่มอีก18-20 โรงงาน ขนาด 2.5-3 พันตารางเมตร(ตร.ม.) ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นแห่งละ 10 ล้านบาทขึ้นไป ปัจจุบันบริษัทฯได้ก่อสร้างไปแล้ว 99 โรงงานคิดเป็นมูลค่าลงทุน 1,000 ล้านบาท รวมถึงการลงทุนทางด้านสาธารณูปโภคภายในนิคมฯ รวมถึงนำเงินมาใช้ตกแต่งภายในโครงการคอนโดมิเนียม เดอะพาร์ค ชิดลม
สำหรับแผนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ในปีนี้ บริษัทอยู่ระหว่างรอดูสถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยพิจารณาที่ดินหลายแปลงในย่านใจกลางเมือง เนื่องจากมีผู้ประกอบการหลายรายเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมากในปัจจุบัน ขณะที่โครงการเดอะพาร์ค ชิดลม มูลค่าขาย 5,000 ล้านบาทนั้นได้ก่อสร้างเสร็จไปแล้ว ปัจจุบันขายไปได้แล้ว 85% โดยมียูนิตเหลือขาย 25 ยูนิต หรือคิดเป็นเนื้อที่ 7.5 พันตร.ม.
" เราอยู่ระหว่างเร่งทำการตลาดโครงการเดอะพาร์คชิดลม ทั้งขายให้แก่ลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ ปัจจุบันบริษัทได้ปรับราคาขายมาอยู่ที่ 1.4-1.8 แสนบาทต่อตร.ม. ซึ่งได้มีการปรับราคามาหลายครั้ง แต่ยังถือว่าค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับโครงการคอนโดไฮเอนด์บางแห่ง ที่เปิดขายในระดับราคา 2 แสนบาทต่อตร.ม.ขึ้นไป ซึ่งในปีนี้จะมียอดรับรู้คอนโดฯเดอะพาร์ค อีก 1,000 ล้านบาท" นายนาร์โดน กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยในเขตนิคมอุตสาหกรรม แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะพัฒนาเป็นประเภทใด
ปัจจุบันบริษัทฯ มีนิคมอุตสาหกรรม 6 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด(ระยอง), นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก(มาบตาพุด), นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี, เขตประกอบการอุตสาหกรรมระยองอินดรัสเตรียลแลนด์ และเขตประกอบการอุตสาหกรรม เอสไอแอล(สระบุรี) จำนวนทั้งสิ้น 32,000 ไร่ มีพื้นที่เหลือขาย 10,000 ไร่ โดยในแต่ละปีจะมีลูกค้าเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ปีละประมาณ 50 ราย แต่การซื้อที่ดินขึ้นอยู่กับภาวะการลงทุนของลูกค้า โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถขายที่ดินได้ 1,264 ไร่ สูงกว่าปี 2549 ถึง 60% มียอดขาย 725 ไร่
"ปี 2549 บริษัทขายที่ดินในนิคมไปรวม 725 ไร่ ปี 2550 ขายไปจำนวน 1,264 ไร่ ซึ่งในปี 2551 บริษัท คาดว่าจะขายได้ 1,300 ไร่ เยอะสุดในรอบสิบปีหลังภายวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 " นายเดวิดกล่าว
ส่วนในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,300 ไร่ หรือโต 5% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ตั้งอยู่บนความระมัดระวังจากภาวะปัจจัยต่างๆ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า การลงทุนของนักลงทุนจะมีอยู่อย่างต่อเนื่อง พิจารณาได้จากภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไม่ดี แต่การลงทุนยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งลูกค้าของบริษัทเหมราชฯ เป็นผู้ประกอบการทางด้านยานยนต์ 120 ราย จากทั้งหมด 358 ราย
นายเดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2551 บริษัทเตรียมเงินลงทุน 4,000 ล้านบาท เพื่อที่ดินเพิ่มในนิคมอุตสาหกรรมจำนวน 500 ไร่ การสร้างโรงงานสำเร็จรูปขนาดเล็กหรือ เอสเอ็มอี แฟคตอรี่ รูปแบบให้เช่าและขาย ซึ่งในปีนี้มีแผนจะก่อสร้างเพิ่มอีก18-20 โรงงาน ขนาด 2.5-3 พันตารางเมตร(ตร.ม.) ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นแห่งละ 10 ล้านบาทขึ้นไป ปัจจุบันบริษัทฯได้ก่อสร้างไปแล้ว 99 โรงงานคิดเป็นมูลค่าลงทุน 1,000 ล้านบาท รวมถึงการลงทุนทางด้านสาธารณูปโภคภายในนิคมฯ รวมถึงนำเงินมาใช้ตกแต่งภายในโครงการคอนโดมิเนียม เดอะพาร์ค ชิดลม
สำหรับแผนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ในปีนี้ บริษัทอยู่ระหว่างรอดูสถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยพิจารณาที่ดินหลายแปลงในย่านใจกลางเมือง เนื่องจากมีผู้ประกอบการหลายรายเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมากในปัจจุบัน ขณะที่โครงการเดอะพาร์ค ชิดลม มูลค่าขาย 5,000 ล้านบาทนั้นได้ก่อสร้างเสร็จไปแล้ว ปัจจุบันขายไปได้แล้ว 85% โดยมียูนิตเหลือขาย 25 ยูนิต หรือคิดเป็นเนื้อที่ 7.5 พันตร.ม.
" เราอยู่ระหว่างเร่งทำการตลาดโครงการเดอะพาร์คชิดลม ทั้งขายให้แก่ลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ ปัจจุบันบริษัทได้ปรับราคาขายมาอยู่ที่ 1.4-1.8 แสนบาทต่อตร.ม. ซึ่งได้มีการปรับราคามาหลายครั้ง แต่ยังถือว่าค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับโครงการคอนโดไฮเอนด์บางแห่ง ที่เปิดขายในระดับราคา 2 แสนบาทต่อตร.ม.ขึ้นไป ซึ่งในปีนี้จะมียอดรับรู้คอนโดฯเดอะพาร์ค อีก 1,000 ล้านบาท" นายนาร์โดน กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยในเขตนิคมอุตสาหกรรม แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะพัฒนาเป็นประเภทใด
ปัจจุบันบริษัทฯ มีนิคมอุตสาหกรรม 6 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด(ระยอง), นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก(มาบตาพุด), นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี, เขตประกอบการอุตสาหกรรมระยองอินดรัสเตรียลแลนด์ และเขตประกอบการอุตสาหกรรม เอสไอแอล(สระบุรี) จำนวนทั้งสิ้น 32,000 ไร่ มีพื้นที่เหลือขาย 10,000 ไร่ โดยในแต่ละปีจะมีลูกค้าเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ปีละประมาณ 50 ราย แต่การซื้อที่ดินขึ้นอยู่กับภาวะการลงทุนของลูกค้า โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถขายที่ดินได้ 1,264 ไร่ สูงกว่าปี 2549 ถึง 60% มียอดขาย 725 ไร่
"ปี 2549 บริษัทขายที่ดินในนิคมไปรวม 725 ไร่ ปี 2550 ขายไปจำนวน 1,264 ไร่ ซึ่งในปี 2551 บริษัท คาดว่าจะขายได้ 1,300 ไร่ เยอะสุดในรอบสิบปีหลังภายวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 " นายเดวิดกล่าว
ส่วนในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,300 ไร่ หรือโต 5% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ตั้งอยู่บนความระมัดระวังจากภาวะปัจจัยต่างๆ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า การลงทุนของนักลงทุนจะมีอยู่อย่างต่อเนื่อง พิจารณาได้จากภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไม่ดี แต่การลงทุนยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งลูกค้าของบริษัทเหมราชฯ เป็นผู้ประกอบการทางด้านยานยนต์ 120 ราย จากทั้งหมด 358 ราย