นราธิวาส – นราธิวาสผุดโครงการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมเพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่ “ศอ.บต.” เตรียมพัฒนาเฟสแรก 500 ไร่ ภาคธุรกิจ-ปชช.ตอบรับทันที เชื่อจะสร้างรายได้แก่คนในพื้นที่ หลังไฟใต้ทำทุกส่วนชะงัก
จากข้อตกลงความร่วมมือในโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจระหว่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เมื่อปี พ.ศ. 2535 ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือในสาขาสำคัญ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2539 เห็นชอบ โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดนราธิวาส
โดยกำหนดใช้พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม โคกจะโก ตำบลนานาค อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เนื้อที่ประมาณ 2,500 ไร่ ติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4057 สายตากใบ-สุไหงโก-ลก ห่างจาก อ.ตากใบ 15กิโลเมตร และห่างจากอ.สุไหงโก-ลก 19 กิโลเมตร
ศอ.บต. เล็งเห็นว่า เป็นโครงการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน และเป็นที่สาธารณประโยชน์ทั้งหมดโดยไม่ต้องเวนคืน ในเบื้องต้นได้กำหนดให้มีการพัฒนาเฟสแรก จำนวน 500 ไร่ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สามารถเชื่อมโยงการผลิตครบวงจร
นายไกรรัฐ พัฒนเพ็ญ อุตสาหกรรมจ.นราธิวาส กล่าวว่า เขตอุตสาหกรรมจังหวัดนราธิวาส เป็นยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ นำการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ด้วยการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน แก้ปัญหาการย้ายถิ่นฐานไปทำงานนอกพื้นที่ เน้นสร้างประโยชน์ให้คนในพื้นที่มากที่สุด
โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบก่อสร้าง และศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยมีบริษัทเอ็นทิค จำกัด เป็นที่ปรึกษาโครงการและจัดทำรายงานเสนอต่อสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือ สผ.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินโครงการ
ซึ่งทาง จ.นราธิวาส ยังมีศักยภาพในการเชื่อมโยงด้านการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านโดยด่านชายแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซียถึง 3 ด่าน คือ ด่านศุลกากรตากใบ ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก และด่านศุลกากรบ้านบูเก๊ะตา
รวมถึงความสะดวกด้านการคมนาคมติดต่อกับภูมิภาคต่างๆทั้งทางรถยนต์ รถไฟหรือเครื่องบิน ซึ่งหากโครงการจัดตั้งเขตอุสาหกรรมจ.นราธิวาสประสบความสำเร็จ จะสามารถเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตครบวงจร เพื่อการส่งออกของประเทศได้
ด้านนางยูไรดา มาดือเระ ประธานเครือข่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน จ.นราธิวาส และ7 จชต.ตอนล่าง กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าถ้าโครงการนี้สำเร็จ จะสร้างงานสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่อย่างมหาศาล และเป็นโอกาสให้แรงงานไทยในมาเลเซียกลับมาทำงานในประเทศ แต่ทั้งนี้การจะขยายธุรกิจต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมาก จึงอยากให้ภาคธนาคารลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อรองรับการลงทุนในจุดนี้ด้วย
ด้านนายนิวัฒน์ เลิศคุณากร ประธานหอการค้า จ.นราธิวาส มองว่าโครงการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมจ.นราธิวาส จะรองรับกับโครงการพัฒนาชายฝั่งตะวันออกและตอนเหนือของมาเลเซีย โดยมีท่าเรือน้ำลึกกาลังกูโบซึ่งอยู่ ตรงข้าม อ.ตากใบ ของ จ.นราธิวาส เป็นชุมทางรองรับสินค้าออกไปสู่ทวีปอื่นๆ แลมั่นใจว่าหากฝันนี้เป็นจริง จะมีบทบาทสำคัญต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กับ 3 จชต.
ส่วนนายเจริญ กริชเกียรติศักดิ์ เจ้าของผลงานหนังเทียมจากขี้เลื่อยยางพารา ซึ่งเคยขายแรงงานในมาเลเซียมากว่า 8 ปี เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว แต่ต้องการให้รัฐศึกษาปัญหาเชิงลึกที่อาจตามมาภายหลังให้ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ ทั้งนี้ไม่เชื่อว่าเขตอุตสาหกรรมจ.นราธิวาสจะดึงความสนใจให้แรงงานไทยกลับมาได้ เนื่องจากรายได้และความปลอดภัยในประเทศมาเลเซียมีสูงกว่ามาก
จากข้อตกลงความร่วมมือในโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจระหว่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เมื่อปี พ.ศ. 2535 ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือในสาขาสำคัญ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2539 เห็นชอบ โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดนราธิวาส
โดยกำหนดใช้พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม โคกจะโก ตำบลนานาค อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เนื้อที่ประมาณ 2,500 ไร่ ติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4057 สายตากใบ-สุไหงโก-ลก ห่างจาก อ.ตากใบ 15กิโลเมตร และห่างจากอ.สุไหงโก-ลก 19 กิโลเมตร
ศอ.บต. เล็งเห็นว่า เป็นโครงการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน และเป็นที่สาธารณประโยชน์ทั้งหมดโดยไม่ต้องเวนคืน ในเบื้องต้นได้กำหนดให้มีการพัฒนาเฟสแรก จำนวน 500 ไร่ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สามารถเชื่อมโยงการผลิตครบวงจร
นายไกรรัฐ พัฒนเพ็ญ อุตสาหกรรมจ.นราธิวาส กล่าวว่า เขตอุตสาหกรรมจังหวัดนราธิวาส เป็นยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ นำการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ด้วยการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน แก้ปัญหาการย้ายถิ่นฐานไปทำงานนอกพื้นที่ เน้นสร้างประโยชน์ให้คนในพื้นที่มากที่สุด
โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบก่อสร้าง และศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยมีบริษัทเอ็นทิค จำกัด เป็นที่ปรึกษาโครงการและจัดทำรายงานเสนอต่อสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือ สผ.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินโครงการ
ซึ่งทาง จ.นราธิวาส ยังมีศักยภาพในการเชื่อมโยงด้านการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านโดยด่านชายแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซียถึง 3 ด่าน คือ ด่านศุลกากรตากใบ ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก และด่านศุลกากรบ้านบูเก๊ะตา
รวมถึงความสะดวกด้านการคมนาคมติดต่อกับภูมิภาคต่างๆทั้งทางรถยนต์ รถไฟหรือเครื่องบิน ซึ่งหากโครงการจัดตั้งเขตอุสาหกรรมจ.นราธิวาสประสบความสำเร็จ จะสามารถเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตครบวงจร เพื่อการส่งออกของประเทศได้
ด้านนางยูไรดา มาดือเระ ประธานเครือข่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน จ.นราธิวาส และ7 จชต.ตอนล่าง กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าถ้าโครงการนี้สำเร็จ จะสร้างงานสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่อย่างมหาศาล และเป็นโอกาสให้แรงงานไทยในมาเลเซียกลับมาทำงานในประเทศ แต่ทั้งนี้การจะขยายธุรกิจต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมาก จึงอยากให้ภาคธนาคารลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อรองรับการลงทุนในจุดนี้ด้วย
ด้านนายนิวัฒน์ เลิศคุณากร ประธานหอการค้า จ.นราธิวาส มองว่าโครงการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมจ.นราธิวาส จะรองรับกับโครงการพัฒนาชายฝั่งตะวันออกและตอนเหนือของมาเลเซีย โดยมีท่าเรือน้ำลึกกาลังกูโบซึ่งอยู่ ตรงข้าม อ.ตากใบ ของ จ.นราธิวาส เป็นชุมทางรองรับสินค้าออกไปสู่ทวีปอื่นๆ แลมั่นใจว่าหากฝันนี้เป็นจริง จะมีบทบาทสำคัญต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กับ 3 จชต.
ส่วนนายเจริญ กริชเกียรติศักดิ์ เจ้าของผลงานหนังเทียมจากขี้เลื่อยยางพารา ซึ่งเคยขายแรงงานในมาเลเซียมากว่า 8 ปี เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว แต่ต้องการให้รัฐศึกษาปัญหาเชิงลึกที่อาจตามมาภายหลังให้ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ ทั้งนี้ไม่เชื่อว่าเขตอุตสาหกรรมจ.นราธิวาสจะดึงความสนใจให้แรงงานไทยกลับมาได้ เนื่องจากรายได้และความปลอดภัยในประเทศมาเลเซียมีสูงกว่ามาก
