ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – เจ้าหน้าที่เตรียมแจ้งข้อหาข้าราชการ และพลเรือน ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยขายความลับของทางราชการให้กับกลุ่มก่อความไม่สงบ ขณะที่บรรยากาศการปฏิบัติหน้าที่ ทหารพุทธ-มุสลิม เริ่มมีความหวาดระแวงกันและกัน วอนกองทัพยื่นมือเข้าแก้ไขก่อนบานปลาย
ความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนนายทหารยศ พันโท จ่าสิบเอก และข้าราชการพลเรือน รวม 3 นาย ที่ถูกควบคุมตัวจากต้นสังกัด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าที่ ศปก.ตร.ส่วนหน้า โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จ.ยะลา เนื่องจากตำรวจตรวจพบหลักฐานหลายอย่าง ว่า มีส่วนร่วม และให้การสนับสนุนแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็นโคออดิเนต
ผลการสอบสวนล่าสุด นายทหารยศพันโท ยังให้การปฏิเสธ และซัดทอดไปยังลูกจ้างชั่วคราว ส่วน จ่าสิบเอกให้การที่เป็นประโยชน์กับเจ้าหน้าที่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งพักราชการทหารทั้ง 2 นาย จนกว่าผลการสอบสวนจะแล้วเสร็จ ตามที่ ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
พล.ต.จำลอง คุณสงค์ รอง ผบ.พตท.ได้เปิดเผยว่า พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ศปก.ตร.ส่วนหน้า ให้ทำสวนสืบสวนคดีนี้ให้ถึงที่สุด ถ้าผลการสอบพาดพิงถึงกำลังพลหน่วยใด ก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวมาสอบสวนได้อย่างเต็มที่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องรายแรงที่สุดของราชการทหาร
โดยเฉพาะข้อหาขาย หรือนำความลับทางราชการไปบอกหรือมอบให้ศัตรู ซึ่งหากสอบพบว่าผิดจริง ทำจริง โทษที่ได้รับคือไล่ออก ถอดยศ และดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีการยกเว้น
และหลังเกิดเหตุ ได้มีการสั่งการให้ มีการตรวจสอบประวัติของคนในหน่วยงานการข่าวทุกหน่วย และวางมาตรการการป้องกันชั้นความลับใหม่หมด ส่วนผู้ที่จะเข้ามาใหม่เพื่อ ทำงานด้านการข่าวต่อไปต้องมีการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการแทรกซึมโดยฝ่ายตรงกันข้าม แต่คงเป็นไปไม่ได้ ที่จะห้ามมิให้ข้าราชการที่เป็นมุสลิม ทำงานด้านการข่าว เพราะข้าราชการที่เป็นมุสลิม ที่มีความรักชาติ รักประเทศไทย ยังมีอีกมากมาย
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น ยังไม่ได้ด่วนสรุปว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวเป็นแนวร่วมขบวนการจริง แต่อาจจะเกิดจากความประมาท และถูกแนวร่วม ที่แฝงตัวเข้ามา ล้วงเอาข้อมูลความลับไปให้ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นได้ ซึ่งขณะนี้นอกจากป้องกันอย่างให้เกิดกรณีขึ้น และรอผลการสอบสวนจากฝ่ายตำรวจ
ในขณะที่การสอบสวน 3 ผู้ถูกควบคุมตัวในวันนี้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.ซึ่งทำการควบคุมการสอบสวนคดีนี้เอง ได้ตรวจสอบประวัติของคนทั้ง 3 อย่างละเอียด พบว่า พ.ท.อดุลย์ หล่าเต๊ะ จ.ส.อ.สุไลมาน เสือนิล และ นายอาลัส รักษาปราศ ก่อนหน้านี้ ได้ทำหน้าที่ อบรมให้ความรู้ทางด้านศาสนาแก่ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแนวร่วมขบวนการ ซึ่งถูกกองทัพภาคที่ 4 ควบคุมตัวและห้ามเข้าพื้นที่ โดยส่งไปควบคุมตัวที่ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นเวลา 4 เดือน
จากการสืบสวนประวัติ พบว่า คนทั้ง 3 มีความใกล้ชิดกับแกนนำ แนวร่วม ขบวนการ จำนวนหนึ่ง เนื่องจาก พ.ท.อดุลย์ เป็นนายทหารการข่าวมานาน ส่วน จ.ส.อ.สุไลมาน ในอดีตนับถือศาสนาพุทธ และมีภรรยาเป็นมุสลิม จึงได้นับถือศาสนาอิสลามในเวลาต่อมา และทีมสืบสวนสอบสวน ได้นำตัวลูกจ้างชั่วคราว หรือลูกจ้าง 4,500 ที่ กอ.รมน.ว่าจ้างผู้ว่างงานในพื้นที่ มาทำงานในหน่วยงานของทหาร และหน่วยอื่นๆ จำนวน 4 คน ที่ พ.ท.อดุลย์ อ้างว่า เป็นผู้ใกล้ชิด และอาจจะนำเอาแผ่นดิสก์ รหัสผ่าน และเอกสารความลับราชการไปให้นายแวยูโซ๊ะ แวดือราแม แกนนำคนสำคัญของขบวนการบีอาร์เอ็น
ส่วนผลการสอบสวน เจ้าหน้าที่ยังปิดเป็นความลับเพราะเกี่ยวกับรูปคดี และล่าสุด ทีมงานสืบสวนสอบสวน และรวบรวมหลักฐาน ได้สรุปว่า คนทั้ง 3 มีความผิดและเกี่ยวข้องกับแกนนำขบวนการจริง จึงเตรียมที่จะแจ้งข้อหาในวันสองวันนี้
ในขณะที่บรรยากาศการปฏิบัติงานในพื้นที่ของทหารหลังจากมีข่าวการเป็นแนวร่วมของทหารและข้าราชการพลเรือน ทั้ง 3 นาย ปรากฏว่า หลายหน่วยงานอยู่ในความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะทหารที่มาจากกองทัพภาคอื่นๆ ต่างพยายามที่จะหลีกให้ห่างจากทหารที่เป็นมุสลิมในพื้นที่
นายทหารสัญญาบัตรนายหนึ่ง ซึ่งเป็น ผบ.ร้อยทหารพรานในพื้นที่ ถึงกับบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองเป็นทหารมุสลิมในพื้นที่ เมื่อไปประสานราชการกับหน่วยทหารราบที่มาจากกองทัพภาคอื่นๆ ถูกหวาดระแวงขนาดไม่ให้เข้าไปในฐาน แต่ให้รอที่หน้าฐานปฏิบัติการแทน ซึ่งเป็นอะไรที่แย่มาก เพราะเริ่มหวาดระแวงกันเองในเหล่าทหาร ซึ่งเป็นไปตามแผนการที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนวางเอาไว้ และหากกองทัพไม่แก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นอันตรายต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการแก้ปัญหาดับไฟใต้อย่างแน่นอน
ความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนนายทหารยศ พันโท จ่าสิบเอก และข้าราชการพลเรือน รวม 3 นาย ที่ถูกควบคุมตัวจากต้นสังกัด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าที่ ศปก.ตร.ส่วนหน้า โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จ.ยะลา เนื่องจากตำรวจตรวจพบหลักฐานหลายอย่าง ว่า มีส่วนร่วม และให้การสนับสนุนแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็นโคออดิเนต
ผลการสอบสวนล่าสุด นายทหารยศพันโท ยังให้การปฏิเสธ และซัดทอดไปยังลูกจ้างชั่วคราว ส่วน จ่าสิบเอกให้การที่เป็นประโยชน์กับเจ้าหน้าที่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งพักราชการทหารทั้ง 2 นาย จนกว่าผลการสอบสวนจะแล้วเสร็จ ตามที่ ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
พล.ต.จำลอง คุณสงค์ รอง ผบ.พตท.ได้เปิดเผยว่า พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ศปก.ตร.ส่วนหน้า ให้ทำสวนสืบสวนคดีนี้ให้ถึงที่สุด ถ้าผลการสอบพาดพิงถึงกำลังพลหน่วยใด ก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวมาสอบสวนได้อย่างเต็มที่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องรายแรงที่สุดของราชการทหาร
โดยเฉพาะข้อหาขาย หรือนำความลับทางราชการไปบอกหรือมอบให้ศัตรู ซึ่งหากสอบพบว่าผิดจริง ทำจริง โทษที่ได้รับคือไล่ออก ถอดยศ และดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีการยกเว้น
และหลังเกิดเหตุ ได้มีการสั่งการให้ มีการตรวจสอบประวัติของคนในหน่วยงานการข่าวทุกหน่วย และวางมาตรการการป้องกันชั้นความลับใหม่หมด ส่วนผู้ที่จะเข้ามาใหม่เพื่อ ทำงานด้านการข่าวต่อไปต้องมีการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการแทรกซึมโดยฝ่ายตรงกันข้าม แต่คงเป็นไปไม่ได้ ที่จะห้ามมิให้ข้าราชการที่เป็นมุสลิม ทำงานด้านการข่าว เพราะข้าราชการที่เป็นมุสลิม ที่มีความรักชาติ รักประเทศไทย ยังมีอีกมากมาย
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น ยังไม่ได้ด่วนสรุปว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวเป็นแนวร่วมขบวนการจริง แต่อาจจะเกิดจากความประมาท และถูกแนวร่วม ที่แฝงตัวเข้ามา ล้วงเอาข้อมูลความลับไปให้ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นได้ ซึ่งขณะนี้นอกจากป้องกันอย่างให้เกิดกรณีขึ้น และรอผลการสอบสวนจากฝ่ายตำรวจ
ในขณะที่การสอบสวน 3 ผู้ถูกควบคุมตัวในวันนี้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.ซึ่งทำการควบคุมการสอบสวนคดีนี้เอง ได้ตรวจสอบประวัติของคนทั้ง 3 อย่างละเอียด พบว่า พ.ท.อดุลย์ หล่าเต๊ะ จ.ส.อ.สุไลมาน เสือนิล และ นายอาลัส รักษาปราศ ก่อนหน้านี้ ได้ทำหน้าที่ อบรมให้ความรู้ทางด้านศาสนาแก่ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแนวร่วมขบวนการ ซึ่งถูกกองทัพภาคที่ 4 ควบคุมตัวและห้ามเข้าพื้นที่ โดยส่งไปควบคุมตัวที่ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นเวลา 4 เดือน
จากการสืบสวนประวัติ พบว่า คนทั้ง 3 มีความใกล้ชิดกับแกนนำ แนวร่วม ขบวนการ จำนวนหนึ่ง เนื่องจาก พ.ท.อดุลย์ เป็นนายทหารการข่าวมานาน ส่วน จ.ส.อ.สุไลมาน ในอดีตนับถือศาสนาพุทธ และมีภรรยาเป็นมุสลิม จึงได้นับถือศาสนาอิสลามในเวลาต่อมา และทีมสืบสวนสอบสวน ได้นำตัวลูกจ้างชั่วคราว หรือลูกจ้าง 4,500 ที่ กอ.รมน.ว่าจ้างผู้ว่างงานในพื้นที่ มาทำงานในหน่วยงานของทหาร และหน่วยอื่นๆ จำนวน 4 คน ที่ พ.ท.อดุลย์ อ้างว่า เป็นผู้ใกล้ชิด และอาจจะนำเอาแผ่นดิสก์ รหัสผ่าน และเอกสารความลับราชการไปให้นายแวยูโซ๊ะ แวดือราแม แกนนำคนสำคัญของขบวนการบีอาร์เอ็น
ส่วนผลการสอบสวน เจ้าหน้าที่ยังปิดเป็นความลับเพราะเกี่ยวกับรูปคดี และล่าสุด ทีมงานสืบสวนสอบสวน และรวบรวมหลักฐาน ได้สรุปว่า คนทั้ง 3 มีความผิดและเกี่ยวข้องกับแกนนำขบวนการจริง จึงเตรียมที่จะแจ้งข้อหาในวันสองวันนี้
ในขณะที่บรรยากาศการปฏิบัติงานในพื้นที่ของทหารหลังจากมีข่าวการเป็นแนวร่วมของทหารและข้าราชการพลเรือน ทั้ง 3 นาย ปรากฏว่า หลายหน่วยงานอยู่ในความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะทหารที่มาจากกองทัพภาคอื่นๆ ต่างพยายามที่จะหลีกให้ห่างจากทหารที่เป็นมุสลิมในพื้นที่
นายทหารสัญญาบัตรนายหนึ่ง ซึ่งเป็น ผบ.ร้อยทหารพรานในพื้นที่ ถึงกับบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองเป็นทหารมุสลิมในพื้นที่ เมื่อไปประสานราชการกับหน่วยทหารราบที่มาจากกองทัพภาคอื่นๆ ถูกหวาดระแวงขนาดไม่ให้เข้าไปในฐาน แต่ให้รอที่หน้าฐานปฏิบัติการแทน ซึ่งเป็นอะไรที่แย่มาก เพราะเริ่มหวาดระแวงกันเองในเหล่าทหาร ซึ่งเป็นไปตามแผนการที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนวางเอาไว้ และหากกองทัพไม่แก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นอันตรายต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการแก้ปัญหาดับไฟใต้อย่างแน่นอน