xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยนด้วย “เกษตรทฤษฎีใหม่” บทพิสูจน์ 4 ปีเกษตรอินทรีย์แบบวิถีคนเมืองของ “สวนในศีล”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ถ้าพูดถึงรายได้เป็นคำถามที่แทบจะได้ยินประจำมาก ๆ เวลาคนมาดูงานเขาจะถามพี่ถามจริง ๆ เถอะที่แค่นี้พี่อยู่ได้จริง ๆ เหรอ คือการที่ทำเกษตรที่นี่ข้อดีของการทำเกษตรที่นี่คือ ลูกค้าจะซื้อตามที่เรามี ทำเกษตรอินทรีย์มันจะมีปัญหาปัจจัยเยอะแยะมากมายแต่ถ้าเราทำน้อย ๆ ดูแลควบคุมมันได้มันก็จะไม่ค่อยมีปัญหาอย่างอื่น”


คุณอรรถกานท์ พิมพ์วงศ์ หรือพี่เจ๋ง อดีตคนข่าวทำงานด้านสื่อสารมวลชนมานานกว่า 30 ปีก่อนจะตัดสินใจลาออกเพื่อเป็น
“เกษตรกร” ตามอุดมการณ์ใหม่ที่อยู่ในใจหลังการได้รู้จักความหมายของ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “เกษตรทฤษฎีใหม่”ที่แท้จริงตามพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานไว้เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตสำหรับคนไทย จากโปรดิวเซอร์ใหญ่รายการทีวีเรทติ้งสูงทางช่องน้อยสี ที่กล้าทิ้งเงินเดือนสูง ๆ มาทำเกษตรอินทรีย์บนพื้นที่เพียง1 ไร่ที่มีอยู่ข้าง ๆ บ้านในกรุงเทพฯ ย่านสะพานใหม่ สร้างความท้าทายให้กับทั้งตัวเองรวมไปถึงคนที่ได้มาเห็น “พื้นที่แค่นี้” จะสามารถฝากชีวิตไว้กับการทำเกษตรได้จริงหรือ?!! จวบกระทั่งเวลาผ่านไป 4 ปีกว่าแล้ววันนี้ “สวนในศีล”ที่เจ้าของหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลาที่ถูกใครถามเรื่อง “รายได้” และการสามารถอยู่ได้จริง ๆ ไหม ซึ่งคำตอบผู้เขียนสามารถบอกแทนพี่เจ๋งได้เลยว่า สบายมาก! และยังมีผู้คนมากมายให้ความสนใจแวะเวียนเข้ามาขอศึกษาเรียนรู้กับที่นี่อยู่ไม่ขาดสายอีกด้วย


พี่เจ๋งเล่าให้ฟังว่า แรงบันดาลใจมาจากเมื่อปีที่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” สเด็จสวรรคต ซึ่งทางสถานีฯ ต้นสังกัดในขณะนั้นก็ได้มอบหมายให้ตนเองไปทำรายการสารคดีอะไรก็ได้เกี่ยวกับพระองค์ท่านซึ่งตนก็เลยเลือก 2 เรื่องนี้“เศรษฐกิจพอเพียง”ถ้าพูดถึงปุ๊บทุกคนต้องใส่เสื้อม่อฮ่อมไปทำนาใช่มั้ยครับ อยู่อย่างกระเบียดกระเสียรมันจะรวยไม่ได้ จะมีกินดี ๆ ไม่ได้จะซื้อโทรศัพท์ก็ไม่ได้ซื้อทีวีจอแบนยักษ์ ๆ ก็ไม่ได้ ซื้อรถไม่ได้เดี๋ยวมันจะไม่พอเพียง แต่จริง ๆ มันไม่ใช่! เศรษฐกิจพอเพียงจริง ๆ แล้วสอนให้คนที่เอาไปใช้น่ะรวยและก็รวยมาก ๆ มีกินมีใช้อย่างเพียงพอเลยครับ เพราะว่าในนั้นมันไม่บอกตรงไหนให้จนมีแต่แบบสามารถทำให้รวยให้รวยนะครับ เป็นต้นว่าในนั้นไม่ว่าจะคุณทำอาชีพอะไรไม่จำเป็นต้องเป็นเกษตรไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร อย่างเช่น ขายหุ้น/ซื้อหุ้น ก็คุณต้องมีข้อมูลใช่ไหมครับและก็รู้เท่าทันสถานการณ์ ตอนนี้จะช้อนหุ้นไหมจะขายหุ้นไหมจะเก็บหุ้นตัวนั้นไว้ไหม อะไรอย่างงี้ และก็นอกจากนี้ต้องพึ่งพาตัวเองพอพูดถึง พึ่งพาตัวเอง ปุ๊บทุกคนต้องไปปลูกข้าวกินเองซึ่งมันไม่ใช่ พึ่งพาตัวเองนี่ในเชิงธุรกิจเนี่ยคือ เช่นสมมุติเราทำกิจการประกอบรถยนต์ใช่ไหม เราจะต้องพัฒนาตัวเองสามารถสร้างรถยนต์เอง สามารถสร้างเครื่องยนต์เองทำขายเอง ทำอะไรเองซึ่งเราต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ นี่คือการเรียกว่าพึ่งพาตนเอง มันคือทำได้ทุกอาชีพ” ก็เลยทำให้เรารู้ว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่เราเคยเข้าใจนี่มันคนละเรื่องกันเลย คือมันมีแต่สอนให้รวยให้รวยให้รวย แล้วในส่วนของ “เกษตรทฤษฎีใหม่” ก็ได้ไปเจอบรรดาปราชญ์เกษตรจากทั่วประเทศหลาย ๆ ท่านอย่างมากเลย หลายคนก็คือเมื่อก่อนเป็นเกษตรกรที่ส่วนใหญ่จะทำพืชเชิงเดี่ยว ก็ล้มลุกคลุกคลานเป็นหนี้ธนาคารกันคนละล้านสองล้าน มีที่ 100 ไร่จำนองหมด 100 ไร่จะเป็นแบบนี้กัน ทีนี้พอปราชญ์เกษตรเหล่านี้เอาเกษตรทฤษฎีใหม่มาใช้ สามารถพลิกฟื้นฐานะอย่างบางท่านใช้หนี้ธนาคารล้านกว่า ๆ ภายใน 2 ปีหมด! บางท่านเสียไป 100 ไร่สามารถซื้อกลับมา 100 ไร่ แล้วตอนนี้มี 140 ไร่ “แล้วก็ถ้าไปดูแต่ละท่านนี่ รายได้ไม่ธรรมดา มันไม่ใช่หลักหมื่นหลักแสน(หัวเราะ) มันเป็นหลักหลาย ๆ แสนบางท่านนี่หลักล้านนะครับ จากคนที่มันไม่มีกินอะไรเลยล้ม ล่มจมไปอะไรเงี้ยครับ สามารถกลับมาพลิกฟื้นชีวิตใหม่ด้วย ”เกษตรทฤษฎีใหม่“ อ่ะครับก็เลยเป็นแรงบันดาลใจตอนนั้นว่าวันหนึ่งเราก็อยากจะออกมาทำ คืออยากจะรวยบ้าง(หัวเราะ) ด้วยเศรษฐกิจพอเพียงและก็เกษตรทฤษฎีใหม่ แล้วก็นอกจากอยากจะเปลี่ยนอาชีพเปลี่ยนเส้นทางเรามีแรงบันดาลใจจากไปเจอปราชญ์เกษตรแล้วอีกอันหนึ่งที่อยากจะทำมากคือ เผยแพร่สิ่งที่เราได้ไปเห็นมาทำให้คนได้รู้ว่า มันทำได้จริง แต่การที่เราจะไปเที่ยวพูด ๆ ให้คนอื่นเขาได้ฟังมันไม่มีใครเชื่อ ก็เลยต้องลาออกมาทำให้ดูมาเป็นเกษตรกรและก็ทำสวนในศีล


“ไม่มีความรู้เรื่องเกษตรเลยแต่ว่าเนื่องจากแรงบันดาลใจอันนั้น และก็คือเริ่มจากค่อย ๆ เวลาไปเจอปราชญ์เกษตรท่านนี้ถนัดเรื่องกุ้งก้ามแดงใช่ไหมครับ พอเราไปทำสารคดีแล้วก็พูดคุยเป็นความรู้เราชอบ เราก็กลับไปหาท่านแล้วก็ค่อย ๆ ปรึกษาบางท่านก็ยัดเยียดมาให้เอาไปเถอะไปลองเลี้ยงดู แล้วก็พอเอามาก็โทรถามคุณลุงทำยังไงค่อย ๆ เก็บความรู้ไปเรื่อย ไปดูสวนผักไปดูเขาเลี้ยงหอยไปดูเขาเลี้ยงปลาไปดูเขาเลี้ยงไก่แล้วก็เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ครับจนเมื่อเราคิดว่า พร้อมแล้ว ออกมาไม่เจ็บตัวแน่(หัวเราะ) อย่างงี้ครับ”เพราะว่าอาชีพเกษตรจริง ๆ มันเป็นอาชีพที่ไม่ใช่ว่าง่ายนะ คือทุกคนอยากทำเกษตรเพราะว่าเห็นในโลกโซเชียลฯ เห็นที่เขาโพสต์โอ้โหมันสวยงามชีวิตมีความสุขมาก ๆ เลย ออกมาจิบกาแฟจิบอะไรเงี้ย แต่ว่าในความเป็นจริงมันก็เหนื่อยนะ แต่ว่าถ้าเกิดทำได้มันจะมีความสุขอย่างมาก แต่ว่าก่อนที่มันจะมาถึงขั้นนั้นมันต้องมีความรู้ต้องมีการเตรียมพร้อมก่อน

ไข่ไก่สมุนไพรของสวนในศีลที่มีลูกค้าจองคิวกันเยอะมาก
ที่นี่จะทำเกษตรแนว “เกษตรทฤษฎีใหม่” คือมันจะมีความหลากหลายในพื้นที่และก็เริ่มต้นจากการ “ลดค่าใช้จ่าย” ก่อนเพราะว่า ทุกวันนี้ที่เราทำงานกันเหนื่อยมาก ๆ เนี่ยก็เพราะว่าเรามีรายจ่ายเยอะ แต่พอเราลดรายจ่ายปุ๊บเนี่ย เราก็ไม่ต้องไปเหนื่อยมาก ๆ คือเราไม่มีรายจ่าย/รายจ่ายน้อยลง ก็เท่ากับเงินเราเท่าเดิม“ก็เริ่มต้นจากลดรายจ่ายก่อนส่วนใหญ่ก็จ่ายเรื่องกินกันนี่ละครับ ก็อ้าวกินซื้อตามรถกับข้าวก่อนตอนที่เริ่มต้นนะครับ ก็รถกับข้าวเราเคยซื้ออะไรเราก็เอาอันนั้นมาปลูกนั่นแหละ แล้วก็ลดค่าใช้จ่ายไปเรื่อย ๆ อย่างเงี้ยครับแล้วก็อยากทำอะไร อยากจะกินอะไร อยากจะกินไข่ใช่ไหมอ้าวก็เลี้ยงไก่ไข่ อยากจะกินกุ้งก็เลี้ยงกุ้ง อยากจะกินปลาก็เลี้ยงปลา อยากจะกินหอยก็เลี้ยงหอย” อย่างการปลูก “ผักสลัดอินทรีย์” เราอยากสุขภาพดีก็ปลูก คือเริ่มต้นจากมีไว้กินก่อนแล้วก็เหลือก็ขาย แล้วค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ขยาย ๆ ไปเรื่อย ๆ “มีหลายคนถามว่าพี่ถามจริงเถอะ มันมีอุปสรรคอะไรบ้างไหม เคยท้อถอยบ้างไหม ก็เลยบอกไม่มีไม่เคยท้อถอย เพราะว่ามันเกิดจากค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ทำ แล้วมันประสบความสำเร็จแล้วมันก็เลย มันไม่ค่อยเขาเรียกว่าอะไร มันไม่ค่อยเสียหายอย่างเงี้ยครับ”

อยากกินกุ้งก็เลี้ยงกุ้งก้ามแดง(กุ้งเครย์ฟิช)
เราชอบทานผักสลัด เราชอบสุขภาพ เราก็ปลูกผักสลัดก่อน แล้วก็ขายที่ไหน ขายใคร เราก็เริ่มต้นจากคนใกล้ตัวก่อน(หัวเราะ)
ที่ทำงานบ้าง แถว ๆ บ้านบ้าง แล้วก็ใครรู้จักเราก็ถามว่าเอาไหม ๆ ก็จะเป็นในลักษณะแบบนี้ และก็จนกระทั่งแบบพอเขาเริ่มรู้จักเราแล้วเขาก็เริ่มสั่งเพิ่มมากขึ้น ๆ มันก็จะพบค้นหาวิธีขายได้เอง“วิธีขายส่วนใหญ่ที่นี่ครับเราเริ่มต้นจากการ ค่อย ๆ ให้คนรู้จักเพิ่มขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แล้วก็ให้เขาดูว่า เราทำยังไงอย่างเงี้ย เขาก็เลยแบบมั่นใจว่าสินค้าของเรา มันจะมีคุณภาพ” บางคนปลูกแล้วก็เอาไปขายตลาดเลยหรือส่งเลยมันอาจจะ คือแต่ละคนมีปัจจัยต่างกัน แต่ถ้าค่อย ๆ ทำไปแบบนี้มันก็จะ1. ลูกค้ามีความมั่นใจ มีลูกค้าที่แน่นอน(มีลูกค้าประจำ) แล้วก็อีกอันหนึ่งคือมันจะมีช่องทางหลากหลายในการขายเดี๋ยวนี้มันจะมีช่องทางเยอะมากเลยมันไม่ต้องไปเอาผักไปส่งตลาดอย่างเดียวแล้ว มันก็มีช่องทางออนไลน์ที่เข้ามาด้วย“แต่ว่าเริ่มต้นน่ะจากที่เราจริงใจกับมันก่อนทำให้เขาดูก่อน อย่าง ไข่ที่นี่ก็ผลิตไม่ทันจะมีคนรอคิวมาก เพราะเขาเห็นว่าเราทำไข่ออกมาแต่ละฟองกว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะที่นี่จะเป็นไข่สมุนไพรทุกคนก็จะจองอยากได้ไข่สมุนไพร อยากได้ไข่สมุนไพร”ก็เกิดจากการเรียนรู้ก่อน เรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์มันทำอย่างไร ทีนี้พอเราเข้าใจมันแล้วว่าจะทำอย่างไร เพราะว่าเกษตรอินทรีย์ทำยากมาก ๆ แต่ถ้าเราเข้าใจมันแล้ว ก็จะบริหารจัดการมันได้ บริหารจัดการมันได้ก็คือ 1. เราจะไม่ปลูกให้มันสวยงามให้มันโอ้โหเขียวเปล่งฟูแล้วมันน่ากิน อะไรอย่างเงี้ยมันทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะว่าพอทำอย่างนั้นปุ๊บแมลงชอบเดี๋ยวมันจะเหมือนกับอาหารอันโอชะของเหล่าบรรดาศัตรูพืชที่จะเข้ามา ที่นี่จะปลูกให้มันสวยงามมากก็ไม่ได้ ปลูกเยอะก็ไม่ได้ ก็เลยจะปลูกให้มันพอดี ๆ กับที่เราสามารถดูแลได้ มันก็เลยสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาศัตรูพืชได้ สองก็คือในเรื่องของการตลาด

อยากกินหอยก็เลี้ยงหอยเชอร์รี่สีทอง
“ที่นี่มันจะมีปัญหาคือ ขายไม่พอ คือหลายคนโอ้โหพี่รวยเลยสิอย่างนี้ทำไม่พอขาย บอกไม่ใช่ เพราะเรามีน้อยมีแค่นี้ เพราะปลูกแบบหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ มันก็เลยได้ทั้งเรื่องของการป้องกันศัตรูพืช สองก็ป้องกันเรื่องของการขายที่มันแน่นอน มันจะไม่ค่อยเหลือผักทิ้งไว้ เพราะว่าเวลาเราปลูกผักเราใช้วิธีการหมุนเวียนเอาคือไม่ได้ปลูกลงพร้อมกันหมดทีเดียว ทีละหลาย ๆ แปลง เพราะสินค้าเกษตรมันไม่เหมือนสินค้าอื่น ๆ มันเสียหายได้เร็วมาก ถ้าเกิดเราปลูกทีเดียวเต็มพื้นที่มันต้องตัดวันนี้พร้อมกันทั้งหมดเลยแล้วมันจะไปขายที่ไหน มันก็ทำให้การทำการตลาดเราเหนื่อยขึ้น”


เกษตรทฤษฎีใหม่จะไม่ได้ให้เรา ทำเหนื่อยยาก! จนสายตัวแทบขาดแบบนั้น แต่เกษตรทฤษฎีใหม่จะสอนว่า นอกจากทำเกษตรแล้วคุณก็ต้องสร้าง “แบรนด์”ของตัวเองต้องมีผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ต้องมีสินค้าของตัวเอง แล้วก็ต้องขายเอง ก็คือนอกจากผลผลิตที่มันได้จากการทำการเกษตรแบบนี้แล้ว เราก็ต้องมีผลิตภัณฑ์แปรรูป“อย่างปราชญ์เกษตรทุกท่านก็จะมีสไตล์การขายมีแบรนด์ของตัวเอง ที่นี่ก็เลยคิดสินค้าของตัวเองขึ้นมาเป็น “ชากาฝากวุ้นว่านหางจระเข้” ครับผมก็เป็นสินค้าค่อนข้างขายดีและก็มี (ไม่แน่ใจนะ) แต่คิดว่ามันน่าจะมีที่เดียว ที่แรกในประเทศไทย(หัวเราะ)”จากแต่ก่อน “กาฝาก” จากต้นมะม่วงรวมถึงกิ่งไม้ต่าง ๆ เวลาตัดแต่งต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณบ้านซึ่งต้องจ้างตัดและก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับทาง กทม. สำหรับการนำขยะเหล่านี้ออกไปทิ้งหรือกำจัดให้ คิดเป็นจำนวนเงินต่อครั้งก็หลักหมื่นบาทเพราะต้องการที่จะให้บริเวณบ้านเกิดความสวยงาม แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องจ่ายแล้วพอหลังจากมาทำเกษตรอินทรีย์พวกใบไม้กิ่งไม้ต่าง ๆ ก็นำมาหมักทำปุ๋ยใช้เองได้และก็กาฝากเองจากที่มีการศึกษาหาข้อมูลมาก็พบว่า มันมีงานวิจัยและก็จะมีอยู่ในตำราสมุนไพรว่ากาฝาก มีสรรพคุณทางยาในการใช้ป้องกันมะเร็ง ลดความดัน ลดเรื่องเบาหวาน ที่สำคัญมันมีคอลลาเจนป้องกันเซลล์เสื่อมด้วย และก็ประกอบกับที่นี่มีปลูกว่านหางจระเข้ยักษ์ก็เลยเอาว่านหางจระเข้มาทำเป็นวุ้นด้วย




“ซึ่งตอนแรกเลยไม่ได้ตั้งใจเป็นการตลาดหรอก เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกและก็ทำกับลูกแล้วเราก็โพสต์เป็นกิจกรรมของเรากับลูกไปเรื่อย ๆ อะไรเงี้ยครับ ปรากฏว่าคนก็รู้จักเพื่อนฝูงอะไรเงี้ยแล้วก็คนก็ติดตามเพิ่มขึ้น ๆ เพราะเขาเห็นว่าเราอยู่กับธรรมชาติกับลูกอย่างเงี้ยครับ ซึ่งจริง ๆ มันเป็นเรื่องธรรมดามากเลยสมัยรุ่นเราถ้าเป็นเด็ก ๆ เนี่ยมันก็อยู่อย่างเงี้ยแหละ แต่เพียงแต่ว่าสังคมทุกวันนี้มันซับซ้อนมันเปลี่ยนไปโอกาสที่เด็กจะได้สัมผัสกับธรรมชาติมันน้อยลงไป มันก็เลยกลายเป็นเราเล่นกับลูกแค่เล่นธรรมดาเหมือนที่เราทำตอนเด็ก ๆ นี่แหละ มันกลายเป็นเรื่องพิเศษ(หัวเราะ) สำหรับคนเมืองไปอย่างเงี้ยครับ”เขาก็เลยชอบแล้วพอเรามาทำเกษตรจริง ๆ ก็ยังทำต่อไปเรื่อย ๆ ก็นำเสนอแบบนี้แต่ว่า เราก็มีวิธีทำของเราทำอย่างไร ปลูกผักยังไง ผักได้มายังไง ไก่ของเราได้มาอย่างไร ไข่ของเราได้มายังไง ที่สวนเรามีอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง ฯลฯ ก็กึ่ง ๆ การโพสต์ให้ความรู้ด้วย โพสต์ให้ดูว่าวิถีของเราเป็นอย่างไร“แล้วก็ตอนหลังก็เลยอาศัยแนว ๆ นี้ ก็มาทำเป็นธุรกิจ คือเอาช่องทางนี้ขายด้วย (หัวเราะ) ครับผมก็ค่อนข้างจะเรียกว่าประสบความสำเร็จนะครับ” ส่วนที่มาของ “สวนในศีล” ก็หลายคนก็ถามพี่ ๆ ตอนแรกเห็นเฟซบุ้กเห็นในเพจนึกว่า เป็นสถานปฏิบัติธรรม จริง ๆ ไม่ใช่เพราะว่า ลูกชายชื่อเด็กชายในศีล ก็เลยเอาชื่อเขามาตั้ง พอมาทำเกษตรจริง ๆ ก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อสวน พอคนเริ่มรู้จักหรือว่าพอเราทำเป็นธุรกิจขายจริง ๆ เขาก็ยังทำช่วยอยู่ เราก็เลยเป็นช่องทางในการสื่อสารกับธุรกิจของเรา


ผลิตภัณฑ์ของ “สวนในศีล” นอกจากชากาฝากวุ้นว่านหางจระเข้แล้วก็ยังมี “น้ำพริกหนังปลาแซลมอนกรอบ” ด้วยก็คือ อันนี้มันเกิดจากตอนปิดเทอมใหญ่แม่เขาอยากจะให้ลูกชายเขารู้จักคุณค่าของการ “ทำมาหากิน” บ้างก็เลยคิดกันว่าจะเอาอะไรให้เขาดีในการรับผิดชอบในการขายแล้วก็แพ็กขายได้ง่าย ๆ เพราะว่าถ้าเป็นผักสลัดเด็กอาจจะแพ็กลำบากหน่อยก็เลยคิดว่า น่าจะเป็นน้ำพริก เพราะว่าหนึ่งก็คืออยากจะให้คนรู้ว่าผักสลัดไม่ต้องกินกับน้ำสลัดอย่างเดียวก็ได้ กินกับน้ำพริกก็ได้ ซึ่งน้ำพริกอย่างอื่นคนขายกันเยอะแล้วประกอบกับเราชอบกินปลาแซลมอนด้วยก็เลยออกมาเป็นน้ำพริกหนังปลาแซลมอนฯ การผลิตก็จะเป็นแบบโฮมเมดมีการปรับปรุงสูตรมาเรื่อย ๆ จนได้สูตรที่เราพอใจแล้ว“ก็มีไปออกบูธบ้างครับแต่ว่าอาจจะ ออกเดือนละครั้งมันมีเวลาว่างก็ไป เพื่อหนึ่งก็คืออยากจะให้คนรู้จักสวนของเรามากขึ้น สองก็คือให้ลูกชายเขาได้ไปรู้จักลำบากได้รู้จักขายบ้างอย่างเงี้ยครับ สามก็คือก็ไปขายของเอาตังค์นั่นแหละ(หัวเราะ) ก็ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์จะไปที่บองมาเช่”


ส่วนใหญ่อยู่ที่สวนก็จะรับแขกก็จะมี หลาย ๆ ส่วนที่วอล์คอินเข้ามา มาซื้อของด้วยแล้วก็อยากจะมาดูสวนด้วย หรือบางท่านก็มาเพราะว่าอยากจะไปทำเกษตรก็เหมือนกับมาดูงาน แต่ว่าส่วนที่มันเป็นใหญ่ ๆ จริง ๆ ก็คือจะมีคอร์สที่เปิดอบรมให้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องของ “เกษตรอินทรีย์ครบวงจร” กับการทำเกษตรให้เป็น “ธุรกิจ” คือทำเกษตรอย่างไรให้มันขายได้ ก็จะมี 2 คอร์สที่เป็นคอร์สของผู้ใหญ่ จะอบรมในวันอาทิตย์ และก็อีกคอร์สจะเป็นคอร์สเด็กชื่อ คอร์สเงยหน้าแล้วมาเล่นกัน ก็คือเกิดจากที่เราเล่นกับลูกเราก็อยากจะให้เด็ก ๆ เล่นกับเรา เงยหน้าแล้วมาเล่นกันคือ เงยหน้าจากไอแพดจากมือถือสักวันหนึ่งมาเล่นด้วยกันไหม?มาทำกิจกรรมแต่ส่วนใหญ่คอร์สเด็ก คือจะเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองรวมตัวกันมาแล้วก็ให้เราจัดคอร์สให้ จะไม่ใช่เป็นการเปิดคอร์สแล้วให้สมัครเข้ามาเอง แล้วก็จะเป็นแบบกลุ่มองค์กร สถาบันการศึกษา ก็จะรวมตัวกันมา มาดูงานบ้างและก็อบรมด้วย เป็นความรู้เรื่องการทำเกษตร


“แต่ว่าเนื่องจากที่นี่มันอยู่กรุงเทพฯ อ่ะครับหลาย ๆ คนก็อาจจะมีงานประจำหรือเป็นนักเรียนนักศึกษา มันก็จะไม่ได้เป็นเชิงเกษตรเป๊ะ ๆ อย่างเงี้ยครับส่วนใหญ่ก็จะแนะนำเรื่องของการทำเกษตรและก็ทำธุรกิจ ให้ประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จในความพอเหมาะของเรานะไม่ได้แบบเป็นเชิงสเกลใหญ่ซึ่งเราไม่มีความรู้ขนาดนั้น แต่ว่าเหมือนกับถ้าอยากจะทำแล้วก็สามารถมีรายได้ได้ โดยไม่คือพูดตรง ๆ ว่า ไม่เจ๊ง! ทำยังไงอะไรเงี้ย โดยใช้เราเป็นตัวอย่างให้เขาดู”


พี่เจ๋ง-อรรถกานท์ พิมพ์วงศ์ เจ้าของ “สวนในศีล” ยังบอกด้วย ถ้าใครที่สนใจและอยากจะทำเกษตรขอให้ทำ “เกษตรทฤษฎีใหม่” เพราะว่ามันจะเป็นเกษตรที่ไม่ต้องใช้พื้นที่มาก ๆ ใครก็สามารถทำได้ และก็ที่สำคัญคือมันสามารถสร้างรายได้ได้ค่อนข้างแน่นอน โอกาสที่มันจะผิดพลาด โอกาสที่มันจะล้มเหลวทางการเกษตรมันจะมีน้อยมาก เพราะว่าในเกษตรทฤษฎีใหม่นอกจากความรู้ของเกษตรทฤษฎีใหม่แล้วความสำคัญของเกษตรทฤษฎีใหม่อีกอย่างหนึ่งก็คือ การขาย การสร้างรายได้เพราะในนั้นเขาจะแนะนำเลยว่าจะต้อง ทำอย่างไร ผลิตยังไง สร้างแบรนด์ยังไง ไปจนถึงสุดทางคือ คุณมีแบรนด์ของตัวเองแล้วเนี่ยถ้าอยากขยายธุรกิจ ก็ต้องไปจับมือกับองค์กรใหญ่ ๆ เช่น ไปจับมือกับ ปตท. กับ ธนาคาร เพื่อขยายธุรกิจไปอีกคือเขาสอนไปจนถึงขนาดนั้นเลย เกษตรทฤษฎีใหม่มันไม่ได้แค่แบบให้ชาวไร่ชาวนาอยู่ได้ พอกินพออยู่ มันสามารถทำให้ คนรวยได้มาก ๆ แล้วก็ไม่ต้องใช้พื้นที่ ที่เล็ก ๆ แต่ว่าต้องเข้าใจมัน ทดลองทำแล้วก็ต้องมีแรงบันดาลใจมีอุดมการณ์ที่จะทำมัน เราถึงจะประสบความสำเร็จได้ “ทุกวันนี้ครับผมเปลี่ยนอาชีพมาทำเกษตรได้ 4 ปีครึ่งแล้ว ทุกวันที่เก็บไข่เนี่ยมันก็ยังแบบมีความสุขอยู่นะ มันเก็บไข่ที่เราเลี้ยงเอง ได้ทอดเอง ได้เป็นไข่ที่สุขภาพดีของเรา เก็บทีไรเราก็จะมีความเขาเรียกว่า ปีติ นะครับผม




หัวใจสำคัญที่ทำให้คนรู้จัก “สวนในศีล” ได้เยอะ ๆ พี่เจ๋งบอก คือ ความจริงใจ เพราะว่าเริ่มต้นจากคนไม่รู้แล้วก็ทำไปเรื่อย ๆ จากเล่นเป็นจริง ทำให้ดูเรื่อย ๆ ว่าผลผลิตแต่ละอย่างได้มายังไง แล้วก็มันมีคุณภาพขนาดไหน พอเขาเห็นเขาก็อยากจะได้สินค้าของเราเอง แม้แต่มูลไส้เดือนซึ่งก็เป็นอีกผลิตภัณฑ์ของที่นี่เวลาส่งตามร้านที่ร้านก็จะบอกว่ามูลไส้เดือนของพี่นะคือเขาจำยี่ห้อไม่ได้หรอกแต่เขาจะบอกว่าเอามูลไส้เดือนถุงสีขาว คือมาถึงระบุเลยว่าเอามูลไส้เดือนถุงขาว แล้วก็พอซื้อแล้วจะมาซื้ออีกเป็นลูกค้าที่ซื้อ“ซ้ำๆ” เพราะว่าเนื่องจากว่าเราทำให้เขาดูว่าสินค้าของเราดีอย่างไร มันอาจจะตอนแรกขายยากหน่อยแต่พอเราทำได้แล้ว มีคนมาซื้อแล้วมีลูกค้าแล้วเขาก็จะซื้อของเราบ่อย ๆ ไม่จำเป็นจะต้องทำหรือผลิตเยอะ ๆ ก็คือทำให้มันไม่ต้องเยอะมากแต่รักษาคุณภาพแล้วเขาเห็นว่าสินค้าของเราดียังไง เราก็จะสามารถทำรายได้หรือสร้างรายได้จากการทำเกษตรอย่างได้ผล



“เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน” สามารถเข้าไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อขอข้อมูลสำหรับการทำเกษตรเชิงธุรกิจให้ประสบความสำเร็จเรื่องการสร้างรายได้ตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ “สวนในศีล”ตั้งอยู่เลขที่ 44/7 หมู่บ้านธนวรรณ ซอย 8 พหลโยธิน 52 แขงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพฯโทร.098-694-4409 เพจ: สวนในศีล


คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น