“กินหนังไก่อย่างไรให้ไม่รู้สึกผิดหรือผิดน้อยลง เรานำหนังไก่ส่วนที่ดีที่สุดของไก่มารีดมาขูดเอาไขมันออกไปแล้วก็มาผ่านขบวนการหลายขั้นตอน ได้หนังไก่สีเหลืองทองไร้มันบางกรอบแบบนี้ และที่สำคัญรสดั้งเดิมอย่างเดียวอาจจะเบื่อได้ก็เลยมีมิกซ์รสให้ด้วย”
ความที่ตัวเองเป็นคนชอบกินของทอดด้วย “คุณหญิง-ศิริพร กนกภูมิรุจา” อายุ 36 ปีเป็นเจ้าของแบรนด์ “PAPA Snacks หนังไก่ โคตรกรอบ” บอกกับเราว่า ด้วยพื้นฐานเดิมของครอบครัวซึ่งมีอาชีพหลักในการค้าขายโดยเฉพาะ “คุณแม่” เป็นคนที่มีรสมือดีมาก ๆ จะขายพวกอาหารต่าง ๆ มาตลอดและตนเองก็ได้ซึมซับในวิชาการค้าการขายมา กลายเป็นความชอบ(และรักในอาชีพค้าขาย) ก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นแม่ค้ามาแล้วในหลากหลายสินค้า ซึ่งทำควบคู่มาตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ กว่าจะมาถึงในปัจจุบันนี้“จริง ๆ ต้องบอกว่าเริ่มแรกทำปูอัดทอดกรอบก่อน และก็จริง ๆ ก็ชอบทานของทอดอยู่แล้วคุณพ่อคุณแม่เนี่ยทำอาหารขายอยู่แล้วนะคะ แต่หญิงเป็นคนชอบกินสแน็กมาก ตอนทำปูอัดทอดกรอบเพราะรู้สึกว่าเราชอบกิน แต่ว่ากลุ่มลูกค้า target มันน้อยในการทานเราก็เลย มาคิดว่าเราจะทำอะไรน้อ? อู๊! หนังไก่เราก็ชอบทานนี่นา”แต่ก็เห็นข้อจำกัดของ “หนังไก่” โดยตนเองคิดเพียงว่า “เรามีความสามารถในการทำได้” ก็เลยทำแต่ตอนที่ทำต้องยอมรับว่าเสียหนังไก่ไปเป็นตัน ๆ เลย(เป็น1,000 กิโล!) กว่าจะได้มาเป็นสูตรนี้ที่ให้ทุกคนได้ทานกัน
วิกฤตโควิดฯ มา!!! ความท้าทายให้ต้องสร้าง “แบรนด์”
“จริง ๆ เราเป็นโรงงานผลิตหนังไก่อยู่แล้วนะคะ ในช่วงโควิดฯ เราไม่มีออร์เดอส่งออกเราก็เลยมาคิดว่า เราจะทำยังไงให้โรงงานเราอยู่ได้ เราเลยมาเปิดเป็นหน้าร้านค่ะเนื่องจากเรามีคนงานในการทำอยู่แล้ว พอเรามาเปิดเป็นหน้าร้านเราก็มาคิดค้นสูตรใหม่ เนื่องจากตอนที่เราทำเป็นแบบ “ซอง” ก่อนนะคะเราคิดว่าเราทำยังไงก็ได้ให้อายุสินค้ามันอยู่ได้นานใช่มั้ยคะ แต่พอเรามาทำเป็นแบบมาขายหน้าร้านเนี่ย เราทำยังไงให้ลูกค้าชิมแล้วก็รู้สึกว่ามันอร่อยแล้วก็มีสีที่สวย แล้วมีรสชาติที่มันแตกต่างออกไปจากที่เราทานกันปกติค่ะ ก็เลยเกิดมาเป็นแบรนด์ “หนังไก่โคตรกรอบ” ก็คือจะมีสีเหลืองทอง ไร้มัน บางกรอบ แล้วชิ้นใหญ่ ๆ แบบนี้เลยค่ะ”
จากโรงงานผลิตสู่ร้าน “PAPA Snacks หนังไก่ โคตรกรอบ”
สำหรับร้านและก็ชื่อแบรนด์ “PAPA Snacks หนังไก่ โคตรกรอบ” นั้นคุณหญิงบอกว่า PAPA ถือเป็นชื่อแบรนด์ที่แจ้งเกิดให้กับตนเองเลย เนื่องจากว่าอาจจะเป็นเพราะความชอบด้วยก่อนหน้านี้ก็จะขายของเป็นแม่ค้าทั่วไป ก็คือลองผิดลองถูกจากการซื้อมา-ขายไปบ้างลองทำดู หรือว่าถามจากแม่บ้างจนกระทั่งพอมาถึงจุด ๆ หนึ่ง “เหมือนเราต้องโตขึ้น” เพราะว่าคุณแม่เสียชีวิตไปทำให้รู้สึกว่าตัวเองต้องโตแล้วต้องทำอะไรสักอย่างที่มันเลี้ยงดูตัวเองได้แล้วก็เป็น “แบรนด์” ของตัวเองขึ้นมาสักแบรนด์หนึ่ง “เพราะว่าหนังไก่มันเป็นอะไรที่คู่กับคนไทยเนาะ ตั้งแต่หญิงเกิดมาเนี่ยก็ชอบทานหนังไก่แล้วก็เห็นหนังไก่เป็นที่นิยมทานกันอยู่แล้วนะคะ เพราะฉะนั้นเราคิดว่าการที่เราทำหนังไก่แล้วเราก็ชอบทานด้วย มันต้องออกมาได้แบบดีมาก ๆ ได้แน่นอนค่ะ”โดยการสร้างความ “แตกต่าง” ก่อนอื่นเราต้องดิวกับโรงงานใหญ่ก่อนเพราะว่า เราต้องการหนังไก่ส่วนนี้ เป็นส่วนด้านข้างสะโพกของไก่ ต้องกำหนดสเป็กที่ต้องการให้กับโรงงานด้วย แล้วจากนั้นจะนำหนังไก่ที่ได้มารีดไขมันออก(ก็คือมาขูดเอาไขมันออกไป) ใช้มีดใช้เขียงในการทำการขูดเอาไขมันออกไป แล้วจากนั้นก็นำหนังไก่มาผ่านกระบวนการคลุกผสมแล้วก็ “ทอด” เสร็จแล้วจากนั้นเข้าสู่ขบวนการ “สลัดน้ำมัน” ด้วยเครื่องเพื่อจะรีดเอาน้ำมันออกไป เสร็จแล้วจากนั้นต่อด้วย “การอบ” จะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 5-6 ชั่วโมง แล้วก็นำไปสลัดน้ำมันออกอีกรอบหนึ่งเนื่องจากเวลาอบอาจจะมี “มัน” ติดมาได้ แล้วก็อบอีกรอบหนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง จนมาเป็นหนังไก่แบบนี้
“แล้วก็เวลามาอยู่ที่หน้าร้านเราก็จะอบอีกรอบหนึ่งด้วยนะคะ เวลาอบเนี่ยเหมือนเตาอบขนมเลยค่ะก็มาใส่ในตู้อบแบบนี้ด้วย ซึ่งตู้อุ่นแบบนี้มันสามารถอุ่นหนังไก่ได้ในอุณหภูมิที่เหมือนว่ามันร้อน ๆ ให้มันดูแบบสดใหม่ตลอดเวลาได้ด้วยค่ะ” ให้คนกินรู้สึกว่าเหมือนทอดขึ้นมาใหม่ ๆ อะไรแบบนี้ ส่วนความมั่นใจเรื่อง “น้ำมัน” ว่ามีน้อยหรือหายไปสักขนาดไหน“เวลาเราทานเนี่ยค่ะรสสัมผัสเราจะรู้เลยว่า มันไม่มีน้ำมันเนื่องจากมันกรอบทั้งชิ้นเลยค่ะ แล้วก็เวลาเรามองเราจะรู้เลยว่าน้ำมัน มันไม่มีจริง ๆ คนทานเนี่ยจะรู้เลย ต้องลองมาทานค่ะ”
เปิดตัววันแรกก็ปังเลย! ขยายสาขาก็ขายดีจนมีห้างฯ มาจีบ
เปิดตัววันแรกเลยขายอยู่ที่ “ตลาดอินดี้ดาวคะนอง” ซึ่งตลาดนี้จะเป็นแนวของวัยรุ่นอยู่แล้ว คนที่ไปเดินตลาดก็จะชอบทานพวกของแปลก ๆ หรือว่าถ่ายรูปโพสต์ลงโซเชียลได้ด้วย“เรามองว่าตรงนั้นมันน่าจะตรงกลุ่มวัยรุ่นแล้วก็เราก็ทำเป็นแพคเก็จขึ้นมาเพื่อให้เขาถ่ายรูปได้ด้วย อย่างเงี้ยค่ะ ก็เลยไปแจ้งเกิดที่อินดี้ดาวคะนองวันแรกขายดีมาก! คือขายดีจนตกใจเพราะไปขายเองไงคะช่วงแรกก็ต้องไปทำอะไรเองก่อน ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลคือเราต้องทำเองก่อนเราจะได้เข้าใจและอินกับมันอะไรเงี้ยค่ะ วันแรกขายได้ประมาณ 10 กิโลซึ่ง10 โลมันเยอะมาก! 10 โลแห้งนะคะมันเยอะมากเลยค่ะใช่ ขาย10 โลขายหมดเลย ขายหมดก่อนด้วย กลับบ้านกำเงินกลับบ้านรู้สึกดีใจน้ำตาไหลเลยตอนนั้น ว่าฉันจะรอดแล้ว! อะไรเงี้ย โรงงานฉันจะไม่ต้องปิดแล้ว”มันเดินหน้าต่อได้แล้วภายใต้แบรนด์ใหม่ แต่ก่อนหน้านี้ก็คือคิดอยู่ว่าจะทำยังไงให้หนังไก่มันดู “ลีน” ให้ดูแล้วอยากซื้อทาน ตอนแรก first impression แรกจะต้องดูสวยงามก่อน ดูว่าเออมันน่าทาน แล้วทำยังไง “ราคา” ที่ไม่แพงจนเกินไปหรือให้คนกินแล้วรู้สึกว่าเออคุ้มค่า แล้วก็มีหลายรสชาติให้เลือก เราก็จะพยายามทำแต่ว่าแรก ๆ มีแค่ 3 รสชาติเอง
พอวันแรกขายได้ขนาดนั้น ขายได้สักอาทิตย์หนึ่ง ขายได้ต่อเนื่อง คิดขยายสาขาต่อเลยทันที“จริง ๆ เราอยู่นนทบุรีอยู่แล้วโรงงานผลิตเราอยู่ที่นนท์อยู่แล้ว แต่อินดี้ดาวคะนองเขาไปขายแถวโน้น(คือเดิมตนเองเป็นคนย่านนั้นอยู่แล้วเขตจอมทองเป็นบ้านเกิดเดิม) ซึ่งมันไกลมากเลยก็เลยคิดว่ามาเปิดที่ “ตลาดนกฮูก” ค่ะซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนเลี่ยงเมือง นนทบุรี ก็มาเปิดที่นี่ก็ขายดีมาก ๆ อีก(เป็นสาขา2) แล้วก็เปิดมาเรื่อย ๆ เลย” พอเปิดมาเรื่อย ๆ ซึ่งช่วงนั้นอยู่ในช่วงของโควิดฯ ด้วยปรากฏว่าก็มีทางห้างฯ ติดต่อเข้ามา ให้เอาของไปให้ชิมหน่อยซิ เดี๋ยวจะเอาไปขายในห้างฯ นะ ตอนนั้นก็ถามเขาไปว่ามีค่าที่ไหม? เขาก็บอกว่ามีแค่ GP โอเคก็เลยสบายใจเขากินแค่ GP ก็เลยคิดว่าไปลองดู“พอไปขายปุ๊บก็ขายดีมากเหมือนเดิมอีก แต่ตอนนั้นมีโจทย์ที่ว่าเออคุณหญิงไม่เอาแพคเก็จแบบกรวยนะเพราะว่า เราต้องการแบบปิดแล้วก็แบบเหมือนกลับบ้านได้ อะไรเงี้ยค่ะ ก็เลยคิดแพคเก็จมาแล้วให้เขาชิม เขาชิมแล้วโอ้! อร่อยอย่างเงี้ยคะ ก็เลยได้ไปขายต้องขอบคุณห้างฯ มาก ๆ เหมือนกัน ที่แบบเปิดโอกาสให้แบรนด์เล็ก ๆ ของเราเข้าไปขาย” ในห้างฯ ตอนนี้ก็มีกระจายอยู่หลายที่ในเขตกรุงเทพฯ และก็มีที่ชลบุรีด้วย ศรีราชา เซ็นทรัลชลบุรี และก็ในเครือเดอะมอลล์ฯ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ก็เกือบครบทุกสาขาแล้วเหมือนกัน
“ลีน” แล้วต้องอร่อยด้วย เลือกได้มากกว่า 9 รสชาติ
ลูกค้าจะถามว่ามีรสชาติมั้ย มีรสชาติเหมือนอ่อน ๆ นิดหนึ่ง พอทานคำแรกจะรู้สึกว่าโอเค คำสองคำสามจะทานได้เรื่อย ๆ เลยรสชาติมันจะไม่เข้มไม่เค็ม ไม่โดดไปทางเค็มและก็ไม่จืดเกินไป มีรสชาติเป็นรสออริจินัลคือเด็กทานได้ เด็กก็ชอบทาน“กลุ่มลูกค้าของเราที่เพิ่มเติมมาคือ กลุ่มเด็กเลยเด็กชอบทานมาก แต่ถ้าใครชอบที่มีรสชาติหน่อยก็ให้เลือกตั้งหลายรสมากค่ะ ตั้งแต่ไม่เผ็ดเลยจนถึงเผ็ดไปเลย! ก็เผ็ดลิ้นชาเลยค่ะ (อย่างรสหมาล่า) หรืออย่างในช่วงนี้ก็จะมีรส “พริกปีศาจ” ด้วยนะ”ซึ่งรสชาติต่าง ๆ ก็จะมีเป็นแบบผงคลุกรสเวลาลูกค้ามาซื้อก็จะให้เลือกดูรสชาติก่อนว่าชอบรสไหน จากนั้นก็จะทำการคลุกผสม (หรือShake) เขย่า ๆ ก่อนให้เข้ากันแล้ว จึงจะเสิร์ฟให้เดี๋ยวนั้นไปเลย
ราคา ถ้าเป็นการขายตามตลาดไนท์มาร์เก็ตต่าง ๆ จะเริ่มต้นที่ 49 บาท มี 49,79, 99 บาท แต่ถ้าเป็นในห้างฯ จะเริ่มต้นที่ 59
บาทเนื่องจากแพคเก็จ เป็นแบบมีฝาปิดด้วยก็จะเพิ่มราคาขึ้นอีกนิดหนึ่ง “แบบกรวยน้ำหนักประมาณ 60 กรัม(ไซส์ M) จากนั้นไซส์ L ก็จะประมาณ 90 กรัม XL ก็ประมาณ 120 กรัม ประมาณนี้ค่ะโดยรวม ๆ”หรือถ้าลูกค้าอยากจะซื้อไปเก็บไว้ทานเองที่บ้านก็มีขายเป็นกิโลให้ด้วย กิโลกรัมละ 550 บาท มีแถมผงคลุกให้ฟรีไปอีก 3 รสชาติ แล้วก็ถุงที่ใส่ไปเป็นถุงอัลลูฯ ที่สั่งผลิตขึ้นมาเพื่อทำให้ “หนังไก่” มันคงคุณภาพอยู่อย่างนั้น(กรอบนาน) มีการลงทุนเรื่องแพคเก็จจิ้งลงทุนเรื่องการถนอมอาหารมาค่อนข้างมากเหมือนกัน
ผลิตได้สูงสุด1 ตัน(แห้ง)/วัน “แฟรนไชส์” การันตีกำไร 50%อัพ
กำลังการผลิตสูงสุดตอนนี้ผลิตได้วันละ 1,000 กิโลกรัม(แห้ง) ที่เป็นแบบพร้อมขายอย่างที่เห็นหน้าร้านแบบนี้เลย โดยใน 1 ตันแห้งจะใช้หนังไก่(ขูดมันออกแล้ว) ประมาณ 8 ตัน(สด) “โดยเราจะมีเจ้าประจำแบบล็อคโรงกันเลย ไม่มีขาดแคลนเพราะว่าทุกวันนี้มีเงินเท่าไหร่คือไปตุนหนังไก่หมดเลย ตอนนี้อยู่ในห้องเย็นทั้งห้องเย็นที่โรงงานทั้งห้องเย็นนอกค่ะ หญิงเคยเจอวิกฤตมาแล้วนะเรื่องนี้ เมื่อตอนเดือนธันวาฯ ที่ผ่านมาก็คือออร์เดอขายดีมากและก็ไม่มีของเลย(อยู่ดี ๆ ขายดีขึ้นมาเลย!) แล้วเราก็มีคนรับไปส่งด้วยขายส่งด้วยไงคะ หญิงขายส่งด้วยนะ ก็เลยเกิดการแบบไม่มีหนังไก่ก็คือแบบมันช่วงนั้นคือต้องหน้าร้านคือต้องปิดไปบางสาขาเลยนะคะ ปิดไปเลยก็คือขายส่งก่อนเพราะเรารับออร์เดอลูกค้าไว้แล้วใช่มั้ยคะ เราก็ขายส่งไปก่อนอย่างเงี้ย ทีนี้พอถึงเวลาจุดหนึ่งหญิงก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง คือเราก็พยายามเวลาหาโรงงานหนังไก่เราหาโรงใหญ่โรงที่เขาส่งออกน่ะค่ะ มันถึงจะได้หนังไก่ที่มีคุณภาพสูง เพราะฉะนั้นหญิงก็พยายามแบบหาและก็ไม่ได้มีช้อยส์แค่แบบ 1 ถึง 2 แล้วอาจจะเป็น 3-4 แล้วหญิงก็คือมีเท่าไหร่เอาหมด”
การผลิตคือจะผลิตเลย 5 วัน แต่อีกวันอย่างวันเสาร์จะให้ทำความสะอาดทุกอย่าง คือเราต้องการความสะอาด ต้องการให้ลูกค้ากินแล้ว คือตัวเองก็กินด้วย ลูกเราก็ทานด้วย(ลูกตัวเองกินด้วยตลอดทุกวันเลย) ก็เลยต้องทำยังไงก็ได้ให้มันมีคุณภาพที่สุด เวลาเราทำอาหารเราพูดถึง “คุณภาพ” แต่คุณภาพมันก็มีหลายแบบ สำหรับของหญิงคือคุณภาพต้องสูง ต้องดีจริง ๆเพราะว่าเราถือว่าเราทานเองด้วยแล้วเราอยากให้ลูกค้าได้ทานของดี ๆ แล้วก็ต่อไปลูกค้ามาซื้อเรามันก็เกิด income เราอยู่ได้ พนักงานอยู่ได้ มันก็ทุกอย่างมันก็จะดีขึ้น “capacity โรงงานก็คือได้ 1,000 เลยต่อวัน คือหญิงผลิตไม่ได้เหมือนกันทุกวันเนื่องจากว่าพยายามทำให้มันสดใหม่ตลอด ใช่ค่ะส่วนมากจะผลิตประมาณ500 บวก ๆ อยู่แล้ว 500 กิโล(แห้ง) บวก ๆ อยู่แล้วต่อวัน”
พอเริ่มขยายมาร้านที่ 2 ก็เริ่มมีคนสนใจมาถามว่า ขายแฟรนไชส์มั้ย? มีน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกค้ามากินทุกวันเลยแล้วก็ตื้อทุกวันพี่ขายเถอะ พี่ขายเถอะ ประจวบกับตอนนั้นมีไทยแฟรนไชส์ที่เข้ามาขอสัมภาษณ์พอดี ก็เลยได้ให้สัมภาษณ์เขาไปซึ่งก็มีคนติดต่อเข้ามาเยอะมาก จากตอนแรกที่ยังไม่ได้คิดเรื่องการเปิดขายแฟรนไชส์เลย“ก็ขายให้น้องคนนั้นก่อนแหละคนแรก เราลองก่อน แต่เราก็คิดว่าเราขายแฟรนไชส์เนี่ยเราไม่ได้เกิดความยุ่งยากอยู่แล้ว เรามองว่าเราไม่ได้คิดว่าเราจะต้องไปเอาเปอร์เซ็นต์จากแฟรนไชส์อยู่แล้ว คือว่าเราซื้อเหมือนซื้อของให้เขาน่ะค่ะแล้วก็ขายของเขาไป โดยที่ไม่เอากำไรนะคะหรือมีค่าดำเนินการนิดหน่อย แล้วเราก็ถือว่าเราอาศัยขายหนังไก่เพราะเราเป็นโรงงานขายหนังไก่อยู่แล้ว แต่ว่ามาขายร่วมกับแบรนด์เราแบรนด์เราจะได้ขยายไปเราก็จะได้มีชื่อเสียง คนจะได้กลับมากิน เราก็ได้ แฟรนไชส์ก็ได้ อะไรอย่างเงี้ยค่ะ”ก็เลยเกิดการขายแฟรนไชส์ไปสาขาแรก พอสาขาแรกขายดีน้องเขาก็ไปเรียกเพื่อนเขามาซื้อด้วย รวม ๆ แล้วตอนนี้ทั้งร้านของตัวเองและก็แฟรนไชส์ด้วยประมาณ 30 กว่าสาขาแล้ว โดยแฟรนไชส์จะเริ่มต้นที่ราคา 19,900 บาท(ไม่มีตัวคีออส) แต่จะได้อุปกรณ์ไปครบชุดเลย ไม่ว่าจะเป็น ตู้อุ่น ตัวเขย่าก็ให้ไปหมดเลย ทุกอย่างแล้วก็ให้ของแถมเป็นของขายไปด้วย แล้วก็ถ้าเป็น “คีออส” แบบนี้ราคาเริ่มต้นที่ 39,900 บาท ได้ครบเหมือนกัน และก็ไซส์ใหญ่สุดก็คือ 49,900 บาท แล้วก็ได้หนังไก่และก็อุปกรณ์ที่ซื้อในครั้งหน้าเป็นราคาส่งให้ด้วย
“ส่วนเรื่องกำไรค่ะถ้าขายไม่รวมค่าที่ไม่รวมค่าคนที่จะจ้างนะคะ กำไรมากกว่า 80%เลย ใช่ค่ะในการขายต่อ 1 เสิร์ฟ แต่ถ้าหากรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วก็จะตีว่าเหลืออยู่ประมาณ 50% ใช่ค่ะจากประสบการณ์ถัวเฉลี่ย ค่าคน/แรงงานและก็ค่าที่นะคะโดยเฉลี่ย ๆ ประมาณ 50%”
ทำในสิ่งที่รักแล้วความสำเร็จ และ income ก็จะตามมา
คุณหญิง-ศิริพร กนกภูมิรุจา เจ้าของแบรนด์ “PAPA Snacks” บอกว่า จริง ๆ แล้วสูตรในการทำหนังไก่โคตรกรอบนี้อาจจะไม่ได้เป็นความลับอะไร ใครก็ทำได้ แต่ทว่ากระบวนการในการทำต่างหากที่มันค่อนข้างจะยุ่งยากแบบถ้าทำทานเองหรือว่าแบบต้องทำขายมันค่อนข้างยุ่งยาก คนก็เลยอาจจะไม่ได้ชอบทำสูตรนี้“แต่พอดีด้วยความที่หญิงมีคนแล้วหญิงก็มีความพยายามในการทำมัน เพราะว่าหญิงชอบทานไงคะก็เลยมีพลังมากกว่าคนอื่นเขาในการทำอะไรเงี้ยค่ะ”เป็นเพราะว่าสามารถทำในเรื่องของ “ปริมาณ” ได้ด้วยก็เลยเกิดการต่อยอดขึ้นมา กลายเป็นว่าใครที่อยากจะรับไปขายต่อซึ่งมันก็ง่ายแล้ว“คนบอกว่าทำไมหนังไก่ PAPA เอาไปขาย ขายง่ายจัง คือมันยุ่งยากแต่โรงงานนะคะ โรงงานนี่ยุ่งมาก Process ถึง 2 วันกว่าจะเสร็จออกมาเป็นแบบนี้ หนังไก่พร้อมทานได้ อย่างดูสีของหญิงซึ่งพี่ก็จะรู้ว่าหญิงใช้น้ำมันใหม่ตลอดอยู่แล้ว”
ในอนาคตคือ 1.จะมีการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น 2.จะเน้นเรื่อง R&D ในส่วนของผงคลุกหรือว่าการเพิ่มรสชาติใหม่ ๆ ขึ้นมาอีก ก็อาจจะมีผงเขย่า(หรือShake) เพิ่มมากขึ้น“แรก ๆ เราเกิดจาก 3 รสใช่มั้ยคะ ตอนนี้ก็เป็น 9 แล้วและก็มี “พริกปีศาจ”ด้วยในบางสาขาก็เป็น 10 แล้ว เราก็พยายามทำผงใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้กับลูกค้าทานแล้วแบบว่าไม่เบื่อ” อย่างเช่น รสปาปริก้า ก็คือมาจากลูกค้าเป็นคนรีเควสให้มีรสนี้ด้วย โดยจะเลือกดูจากที่มีการรีเควสเข้ามาก่อน (เรื่องที่1) จากนั้นคือดูเทรนด์หรือว่าความนิยมในตลาดขณะนั้นว่ามีอะไรบ้าง อย่างเช่น รสหมาล่า เป็นต้น เราก็ต้องมีรสนั้นด้วยแต่ทั้งนี้ จะไม่ได้ซื้อมาเขย่าขายเลยมันก็อาจจะไม่ได้เหมาะลูกค้าอาจจะไม่ได้ชอบ แต่จะเน้นว่าลูกค้าทานแล้วประทับใจด้วย เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการอาร์แอนด์ดีมีการชิมมีการเทสต์รสนั้น ๆ ดูก่อน กับกลุ่มลูกค้าประจำ แล้วจากนั้นถึงจะเอามาขายจริง ๆ ต่อไป
ต่อไปข้างหน้าก็อาจจะผลิตของทอดให้เพิ่มมากขึ้น แต่ว่าตอนนี้ก็พยายามพัฒนาสูตรต่อแต่ด้วยความที่การผลิต “หนังไก่” ก็เต็มกำลังแล้วตอนนี้ ยังไม่สามารถที่จะผลิตอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ แต่ว่าก็มีการขยายโรงงานเพิ่มเติมไปด้วย ให้ผลิตอย่างอื่นที่จะตามมาอีกได้“เพราะเราคิดว่าเราชอบทานของทอดยังไงเราก็ต้อง หาอย่างอื่นมาทอดขายบ้างแหละนอกจาก “หนังไก่” เผื่อลูกค้าทานเบื่อไงคะ เราก็พยายามทำให้มันเป็นโปรดัคส์ของเราแล้วเป็น Thailand ด้วยแบบเป็น Snacks ที่มันเกิดจากของประเทศไทยเอง ที่ส่งต่อไปให้เมืองนอกได้ในอนาคตต่อไป”
เจ้าของแบรนด์ “PAPA Snacks” ยังบอกด้วย เป้าหมายเราต้องชัดเจนก่อนว่าเราทำอะไร ทำอะไรให้ใคร ให้ใครทาน แล้วมันจะมีประโยชน์อย่างไร แล้วคนทานจะได้อะไร แล้วสุดท้ายปลายทางจะเป็นยังไง“เราจะต้องมีแผนระยะสั้น ระยะยาวของเรา 1 ปี 3 ปี 5 ปี เราจะเป็นยังไงอะไรอย่างเงี้ยค่ะ เพราะฉะนั้นพอเราทำแล้วมี “กำลังใจ” ต่อให้มีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ เรามีกำลังใจไงคะ คนที่เป็นกำลังใจให้เราได้ดีที่สุดคือ ตัวเราเอง เราต้องรู้ว่าเราทำอะไรอยู่แล้วเราจะคิดว่าสิ่งที่เราทำมันดีอยู่แล้ว มันตอบโจทย์อยู่แล้ว ตอบโจทย์สำหรับเรา ตอบโจทย์สำหรับผู้บริโภค เราก็คือเรามุ่งตั้งหน้าตั้งตาทำเลยค่ะอย่าไปคิดเรื่องอื่นเลย”แต่ว่าเรื่องโปรดัคส์เราต้องพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ทำในส่วนของเราให้ดี ให้ดีไปเลย! โดยที่ไม่ต้องมองว่าเขาทำ/ไม่ทำ การพัฒนาคือเราทำให้มันดีไปเลย ให้มันเก่งไปเลยให้ Expert ในเรื่องนี้ไปเลย แล้วก็ดูฟีดแบ็คจากลูกค้าเป็นหลักด้วย
ทำในสิ่งที่รัก รักในสิ่งที่ทำ แล้วความสำเร็จในธุรกิจก็จะตามมาเอง ขอบคุณเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจดี ๆ จาก PAPA Snacks แบรนด์ของทานเล่นสัญชาติไทยโดยเจ้าของแบรนด์คนสวย “คุณหญิง-ศิริพร กนกภูมิรุจา” ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์การสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้
สามารถติดตามผลงานหรือใครที่สนใจแฟรนไชส์ก็ติดต่อไปได้ที่ เพจ/เฟซบุ้ก: PAPA Snacks หนังไก่ โคตรกรอบ หรือสามารถฝากข้อความในอินบ๊อกไว้ได้
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *