xs
xsm
sm
md
lg

ใครชิมก็ติดใจ! ไส้กรอกเยอรมันโฮมเมด “ร้านลุงจิม&ป้าต้อย” การันตีความอร่อยมากว่า 50 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เราอยากสานต่อของอร่อย “คุณตา” เปิดโรงงานไส้กรอกเยอรมันมานานกว่า 50ปีแล้ว ขายส่งอย่างเดียว ลูกค้าไม่รู้เราเป็นยังไง ลูกชายเลยบอกของเราอร่อยนะเรามาย่างขายดีกว่า ลูกชายคนเล็กเขาเป็นตัวอย่างให้พ่อกับแม่ก่อน ต้องขอบใจเขาเลย”

ลุงจิม-อารัติ และป้าต้อย-สุชาดา วินิจฉัยกุล
คู่รักวัยเกษียณที่มาเริ่มอาชีพค้าขายกันอย่างจริงจังตอนอายุ 67 ปีแล้วสำหรับ “ลุงจิม-อารัติ วินิจฉัยกุล” และป้าต้อย-สุชาดา วินิจฉัยกุล ในวัย64 ปีตอนนั้นย้อนหลังไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว กับรถฟู้ดทรัคที่เปิดให้บริการลูกค้าคนรัก “ไส้กรอกเยอรมัน” ด้วยการบริการย่างให้ทานกันใหม่ ๆ ร้อน ๆ แบบเสิร์ฟจากเตาเลย ซึ่งก็ไม่คาดคิดว่าการตอบรับจะดีมาก ๆ ขนาดนี้ จนเวลาล่วงเลยมาต่อเนื่องถึงตอนนี้กว่า 7 ปีแล้ว ทั้งสองคนบอกว่าจากตอนแรกความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตในวัยเกษียณ หลังอายุ 60 ปีแล้วคือว่าอยากจะเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทั้งประเทศให้ครบทุกจังหวัดเลย แต่ทว่าไป ๆ มา ๆ แล้วกลายเป็นการท่องเที่ยวแบบมีรายได้ด้วยแทน เพราะพอสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกของคาราวานฟู้ดทรัคแล้วก็ทำให้ได้เดินทางไปในหลาย ๆ ที่เพื่อร่วมกิจกรรมในการค้าขายอาหารแบบนี้ อย่างไม่ค่อยได้หยุดหรือบางทีก็ไม่อยากจะหยุดเองด้วย เพราะรู้สึกว่าพอได้ทำแล้วมันมีความสุข

ร้านไส้กรอกย่างสไตล์ฟู้ดทรัคของลุงจิม-ป้าต้อยที่ลูกค้าประจำต่างคุ้นเคยกันดี
ลุงจิมเล่าให้ฟังว่า ไส้กรอกเยอรมันโฮมเมดนี้เป็นสูตรที่มาจากเยอรมันแท้ ๆ สมัยที่ “คุณตา” ท่านเคยไปอยู่ที่นั่นมาแล้วได้เรียนรู้เรื่องของสูตรการทำไส้กรอก แล้วพอกลับมาก็เริ่มมีการทำเองเพื่อขายด้วยและกระทั่งเปิดเป็นโรงงานในที่สุด มานานกว่า50 ปีแล้ว แต่ว่าก็จะเป็นรูปแบบของการผลิตส่งให้กับลูกค้าที่มารับเพื่อไปทำแบรนด์เองอีกทีหนึ่ง จะไม่ได้มีการเปิดเป็นหน้าร้านให้นั่งทานได้แบบนี้ ไส้กรอกเยอรมันที่ทำอยู่ก็มีหลายสูตร(รสชาติ) ให้เลือกทานได้ตามความชอบของลูกค้า แล้วก็ยังมี “ขาหมูเยอรมัน” ด้วยที่อร่อยมากไม่แพ้กัน การที่มาทำร้านแล้วให้ลูกค้านั่งทานได้แบบนี้ทำให้ได้เห็นและได้รู้ว่าของที่คุณตาทำมาอร่อยและถูกปากลูกค้าจริง ๆ เพราะเวลาไปขายบางทีเห็นลูกค้าคนเดิมเขามาซื้อแล้วเดินกินไป สักพักก็กลับมาซื้อใหม่อีกซึ่งรวมถึงลูกค้าประจำที่เคยทานแล้วครั้งหนึ่ง เขาก็จะกลับมาซื้อซ้ำอีกตลอดเลยทุกครั้งที่ร้านมาเปิดขาย

ไส้กรอกเยอรมันที่ย่างมาใหม่ ๆ ร้อน ๆ หอม ๆ พร้อมเสิร์ฟทานคู่กับซอสจิ้มสูตรเฉพาะของทางร้านเอง
ขณะที่ป้าต้อยก็บอกด้วย รู้สึกมีความสุขที่เราได้ส่งมอบของที่อร่อย และไม่มีความเป็นพิษใด ๆ ให้กับคนกินเลย เพราะไส้กรอกที่ทำไม่มีการใส่สารกันบูดหรือสารแต่งสีใด ๆ ไม่มีเจือปนอยู่ในนี้ ซึ่งทำให้รู้สึกสบายใจว่าจะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกค้าอย่างแน่นอน แล้วพอเราได้เห็นการตอบรับจากคนกินด้วยที่เขาชมว่ามันอร่อยมาก ยิ่งทำให้การค้าขายที่นอกจากเราเองได้รายได้ซึ่งต่อวันเป็นที่น่าพอใจแล้วยังรู้สึกทำไปก็มีความสุขด้วยทุกครั้ง ซึ่งจริง ๆ แล้วต้องขอบใจลูกชายคนเล็กที่เขาเป็นคนจุดประกายอาชีพนี้ให้พ่อกับแม่ก่อน หลังจากที่ทำธุรกิจมาหลายอย่าง แล้วพอได้เห็นลูกชายเขาทดลองเอาไส้กรอกฯ ออกไปเปิดร้านย่างขายดู เพียงไม่นานนักในครั้งแรกเขาก็กลับมาแล้วบอกว่าขายหมดแล้ว ได้เงินตั้ง2 หมื่นกว่าบาทโดยใช้เวลาที่ไม่นานเลย! จากนั้นเขาก็บอกให้พ่อกับแม่ลองไปที่วังน้ำเขียวดูที่นั่นการตอบรับของลูกค้าก็น่าจะดีมาก ๆ ด้วย

แบบนีั้ใครอดใจไม่ชิมไหว
ความที่ทั้งสองคนเคยทำธุรกิจมาแล้วหลายอย่างก่อนหน้า และหนึ่งในนั้นป้าต้อยบอกลุงจิมก็ทำเกี่ยวกับรถยนต์มือสองด้วย
ก็เลยลองทำรถฟู้ดทรัคขึ้นมาแล้วประเดิมไปขาย “ไส้กรอกย่าง” เป็นครั้งแรกก็ที่วังน้ำเขียวตามลูกชายแนะนำ ตอนนั้นเป็นช่วงของปีใหม่พอดี และก็ไม่น่าเชื่อว่าจะขายดีมาก ๆ พอเปิดร้านในระหว่างที่ป้าต้อยกำลังย่างไส้กรอกอยู่บนรถ ก็มีรถตู้คันหนึ่งมาจอดแล้วบอกว่าขอซื้อทั้งหมดที่ป้ากำลังย่างอยู่ ป้าต้อยบอกว่าในใจตอนนั้นก็คิดว่าทำไมขายดีจังเลย แล้วพอเย็น ๆ รถตู้คนเดิมก็มาจอดที่หน้าร้านอีกคราวนี้ถามว่าทั้งหมดในร้านมีอะไรบ้าง เอามาทุกอย่างเลยอย่างละ 1 ชุด สรุปว่าการลองขายในครั้งแรกประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นแบบชนิดคาดไม่ถึงเลย กลายเป็นที่มาของการตัดสินใจสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกคาราวานฟู้ดทรัคด้วย ซึ่งคราวนี้ก็ได้ตระเวนไปทั่วเลยและไม่เพียงไส้กรอกเยอรมันที่ขายดี มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ลุงจิมก็ได้เปิดขาย “ไอศกรีม”ซอฟต์เสิร์ฟเป็นรถฟู้ดทรัคที่เพิ่มขึ้นมาด้วยอีก 1 คัน ก็ขายดีมาก ๆ ไม่แพ้กัน

ขาหมูเยอรมันก็อร่อยมาก ๆ ไม่แพ้ไส้กรอกเลย
โดยทำเลหลักที่สำคัญ ลุงจิมบอกว่าจะต้องดูก่อนกลุ่มของคนซื้อมีกำลังในการซื้อขนาดไหน เพราะจริงอยู่กลุ่มของฟู้ดทรัคมีตลาดในการไปขายเยอะมาก แต่เราเองก็ต้องดูก่อนว่าทำเลไหนบ้างที่ของ ๆ เรามีโอกาสที่จะขายได้มากที่สุด แล้วก็ถึงจะสมัครไปขายด้วยในต่อครั้งนั้น ๆ อย่างทำเลในย่านคอนโดฯ ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ คืออีกกลุ่มลูกค้าหลักและค่อนข้างจะขายดีสำหรับลุงจิมกับป้าต้อย เพราะหากถามว่าราคาขายของไส้กรอกเยอรมันย่างแพงไหม? ก็จะมีอย่างเช่นไส้กรอกหม กระเทียม 120, หมูพริกไทย 90, หมูพริกขี้หนู 90, หมูรมควัน 70, หมูชีส 100 และไส้กรอกเนื้อลูกวัว 120 บาท/ชิ้น ส่วนขาหมูเยอรมันราคา 400 บาท/ชิ้น ถ้าสำหรับคนที่ชอบไส้กรอกเยอรมันและเขาทานแล้วเขารู้สึกว่ามันอร่อย เขาก็จะบอกเลยว่ามันไม่แพง ป้าต้อยบอกว่าเคยมีบางคนเหมือนกันที่เขามาเห็นราคาตอนที่ป้ากับลุงไปขายที่ห้างฯ ห้างหนึ่งแล้วพอดีมีลูกค้าประจำที่เขามาซื้อทานอยู่ตลอดก็อยู่ตรงนั้นด้วยพอดี เขายังตอบแทนให้เลยว่าไม่แพงหรอกครับเพราะผมว่ามันอร่อยดี ราคานี้ผมว่าไม่แพงเกินไปหรอกครับ ซึ่งก็น่าจะจริงอย่างที่ลูกค้าประจำว่าเพราะพอถามถึงรายได้บ้างต่อวันขายได้มากน้อยขนาดไหน ป้าต้อยบอกถ้าขายได้1,000-2,000 บาท/วันตนเองกับลุงจิมก็จะไม่ออกจากบ้านมาเลยแต่ว่า ที่มาขายจนถึงทุกวันนี้คือยังขายดีมาก ๆ เหมือนเดิมขายดีทุกวันจนเหนื่อยมาก ๆ แล้วทั้งสองคนแต่ก็ยังต้องทำอยู่ เพราะรายได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นขึ้นต่อวันที่ได้แน่ ๆ

มีบริการงานจัดเลี้ยงด้วยในราคาแบบมิตรภาพ
เป็นการทำอาชีพที่ลูก ๆ ตอนนี้ไม่อยากจะให้ทำแล้วเพราะเขาเป็นห่วง โดยเฉพาะลูกชายคนโตซึ่งเขาเป็นวิศวกรที่เขาจะห่วงพ่อกับแม่มาก แต่ว่าก็ห้ามไม่ได้ทำได้แค่เพียงจะคอยมาช่วยมาเปลี่ยนให้พ่อกับแม่ได้พักกินข้าวบ้าง เพราะหากขายดีมาก ๆ บางทีก็แทบจะไม่มีเวลาได้หยุดพักทานกันข้าวกันเลย ล่าสุดที่เริ่มเข้ามาจับจองทำเลการขายประจำอยู่ในห้างฯ ที่สามย่านมิตรทาวน์แห่งนี้ ป้าต้อยบอกว่าลุงจิมขอให้พอแล้วสำหรับการไปตระเวนขายตามที่ต่าง ๆ ให้เหลือแค่มาประจำอยู่ที่นี่ก็พอ เพราะเริ่มเหนื่อยมาก ๆ แล้วอย่างมาขายอยู่ที่นี่เขาก็จะมีเปิดทีครั้งละ10 วัน(ที่บริเวณชั้นG) ซึ่งบางทีก็จะให้ลูกชายคนเล็กมาสลับขายแทนบ้างเพราะว่าเขาก็ยังทำอยู่และขายดีมาก ๆ เช่นเดียวกัน เพื่อรักษาฐานของลูกค้าที่นี่เอาไว้ซึ่งหากขายไม่ดีจริง ๆ ก็คงสู้ค่าเช่าต่อวันของที่นี่ไม่ได้เช่นกัน กับมีการรับงานจัดเลี้ยงตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ลูกค้ามาจ้างให้ไปด้วย ลุงจิมบอกว่าตอนนี้ทำแค่นี้ก็พอไม่ไหวเริ่มเหนื่อยจริง ๆ แล้ว

ไส้กรอกเยอรมันโฮมเมดปลอดสารเก็บไว้ในช่องฟรีซได้นานสำหรับคนที่สนใจซื้อกลับไปย่างทานเองที่บ้านก็ได้ด้วย
ด้วยเสน่ห์ของการเสิร์ฟแบบย่างใหม่ ๆ ร้อน ๆ จากเตา แล้วหั่นเสิร์ฟพร้อมกับ “ซอส” ทานคู่ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของที่ร้านเองทำใหม่แบบวันต่อวันด้วย ไส้กรอกดีมีคุณภาพและแถมยังรสชาติอร่อยถูกปากสำหรับคนไทยจริง ๆ ซึ่งแม้แต่พอฝรั่งเองได้มาลองทานดูแล้วก็ชอบมาก ๆ ด้วย จึงไม่แปลกที่วันนี้ร้านของลุงจิมกับป้าต้อยจะยังคงได้รับความสนใจจากลูกค้าคนรัก “ไส้กรอกเยอรมัน” อยู่อย่างไม่ขาดสาย ขายดีจนเหนื่อยอันนี้คือเรื่องจริงเลย (ไม่ใช่การประชดแต่อย่างใด) ทำให้ในวัย 73 ปีแล้วของลุงจิมกับป้าต้อยก็ 70 ปีแล้ว ถึงแม้ว่าจะสนุกกับงานขายและมีความสุขมาก ๆ ทุกครั้งที่ได้เห็นการตอบรับของลูกค้า แต่ด้วยวัยและสภาพร่างกายที่เริ่มถดถอยลงตามกาลเวลาแถมล่าสุดหลังจากฉีดวัคซีนโควิดฯ ช่วง2 ปีมานี้ลุงจิมยังตรวจพบว่า ตนเองเป็นโรคหัวใจด้วยต้องทำบายพาส(บอลลูน) มาและต้องกินยารักษาอย่างต่อเนื่องควบคู่“ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปวันไหนยังไม่รู้เลยชีวิตนี้ แต่ป้าต้อยเขาก็สั่งว่า ห้ามตาย! เขาบอกว่าไม่ให้ลุงจิมตายหรอก”เหตุผลที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป พร้อมกับการทำงานที่มีลูกค้ายังรอชิมไส้กรอกย่างของร้าน “ลุงจิม-ป้าต้อย” อยู่ทุกวัน เป็นวัยเกษียณที่สุขและมีชีวิตชีวาอย่างน่าสนใจยิ่ง

ก่อนจากกันลุงจิมยังปล่อยวลีเด็ดออกมาคำว่า “โอกาสก็เหมือนกับไอติมถ้าเราไม่รีบกินมันก็จะละลายไป”สำหรับใครที่สนใจอยากลองชิมไส้กรอกเยอรมันแสนอร่อย(เยอรมันซอสเซสสัญชาติไทย) ก็แวะไปอุดหนุนที่ร้านได้ หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร.081-497-3426, 081-425-5919 ไลน์ไอดี: toy1102495 ติดตามข่าวสารร้านได้ที่ FB : Uncle Jim Sausage ขอบคุณงานมหกรรม “Up Skill Thailand 2023” จักรวาลสร้างอาชีพ ที่ทำให้มีโอกาสได้พบกับเรื่องราวดี ๆ ในครั้งนี้

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *


กำลังโหลดความคิดเห็น