“แอมป์ปังเว่อร์"วันนี้กลายเป็นฉายาที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักแม่ค้าสุดปังรายนี้ เจ้าของแบรนด์ปังเว่อร์ จากแม่ค้าตลาดนัดสู้ชีวิตขายทุกอย่างที่อยู่ในกระแสอะไรว่าดี อะไรว่าปัง แต่!วันหนึ่งความผันแปรที่นำมาสู่การฮึดสู้อีกครั้งกับธุรกิจขายส่ง “ขนมปัง 20บ.”
คุณแอมป์-สุธารัตน์ คุ้นมาก เจ้าของร้านปังเว่อร์ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 84/12 หมู่ 4 ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมาทำกินด้วยอาชีพค้าขายตนเองก็เคยทำงานประจำ เป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่กว่า 5 ปี แต่เพราะไม่ชอบในวิถีของงาน routine อยากจะมีธุรกิจอะไรทำเป็นของตัวเองบ้าง ก็เลยตัดสินใจลาออกทั้ง ๆ ที่ว่าเงินเดือน 3 หมื่นแล้วโบนัสอีกต่างหาก 5-6 เดือน! ลาออกมาขายของเป็นแม่ค้าตลาดนัดเลย “ออกมาขายของเนี่ย รายได้เราไม่รู้เลย ไม่รู้เลยว่าต่อวันมันจะได้เท่าไหร่ แทบจะพูดว่าออกมาเสี่ยงก็ได้ ก็ต้องลองไม่ลองก็ไม่รู้ แอมป์ก็เลยคิดว่าคนเราถ้าออกมาจากงานประจำแล้วเนี่ย เราคงไม่ทำให้ชีวิตเราลำบากหรอกต้องดิ้นรนจนได้ เริ่มแรกเลยก็ขายได้ 500 บาทต่อวัน 500 บ้าง 1000 บ้างหรือบางวัน 200 ก็มีค่ะ ก็คิดว่าไม่เป็นไร วันนี้ขายไม่ได้พรุ่งนี้ก็ขายได้ วันนี้ตรงนี้ไม่ดีพรุ่งนี้หาที่ใหม่ ทำมันต้องทำได้ แม่ค้าตั้งเป็นหลาย ๆ ร้อยชีวิตหลาย ๆ พันชีวิตเขายังทำได้เลย เราแค่หนึ่งในนั้นทำไมเราจะทำไม่ได้”
อะไรว่าดี! อะไรว่าปัง! แอมป์ขายหมดทุกอย่าง
ตอนแรกที่เป็นแม่ค้าตลาดนัดก็ได้เจอกับ “สามี” ซึ่งเป็นพ่อค้าขายไข่ เขาก็จะรู้จักตลาดนัดต่าง ๆ หลายตลาดเลย ส่วนตัวเองก็เป็นคนที่ชอบขายของ เริ่มแรกเลยขายของออนไลน์ด้วยและก็ให้สามีเป็นคนจัดส่ง คือขายของตามกระแสอะไรว่าดี! อะไรว่าดัง! อะไรว่าปัง! แอมป์ขายทุกอย่าง
“แล้วทีนี้สินค้าในกระแสเนี่ย ขายมันมาไวไปไว! หนูก็เลยเริ่มเปลี่ยน เริ่มเปลี่ยนหาสินค้าอื่นเพราะว่าตอนนั้นเราไปรับขนมปังมาขาย แต่ทีนี้ขนมปังที่เรารับมาเนี่ยยังอยู่ในกระแส ก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นขนมปังกระแสอยู่ ซึ่งมีไส้เดียว ช่วงแรกเนี่ยขายดีมากเราก็รับมาขาย แต่พอขายไป ๆ คนขายเริ่มเยอะ แล้วเราก็ยอดขายเริ่มตกลง” แต่เห็นร้านข้าง ๆ ที่อยู่ตรงข้ามกันเขาก็ขายของเหมือนกัน ตามสัญชาตญาณของแม่ค้าก็เลยไปดู เขาขายขนมปังซึ่งขนมปังของเขามีให้เลือกเกือบ 10 ไส้ แต่ในขณะที่ของเรามีแค่ไส้เดียว ก็เลยถึงบางอ้อว่าหรืออาจจะเป็นเพราะแบบนี้ ขายของกระแสแต่เราสู้เขาไม่ได้เพราะ “ความหลากหลาย” ของเขามีมากกว่า
“หนูก็เลยไปรับขนมปังมาขาย รับจากเจ้านั้นมาขาย เสร็จแล้วเนี่ยก็เริ่มขายดีเพราะว่าขนมปังเขามีหลายไส้ เริ่มขายดี เราก็เริ่มขยายตลาดใช่มั้ยคะ เปิดเพจด้วยอะไรด้วย”
แต่อยู่ดี ๆ ก็ ช็อตฟีล! จุดเปลี่ยนสู่การสร้างแบรนด์ “ปังเว่อร์”
แต่พอเริ่มขายดีขึ้น โรงงานที่ไปรับขนมปังจากเขามาขายผลิตไม่เพียงพอต่อกำลังการขาย เพราะเราเริ่มมีการเอา “ลูก” ไปช่วยขายด้วย ขายในเพจด้วย และก็เริ่มอยากจะขายราคาส่งด้วย ทำให้เขาของไม่พอส่งให้กับเรา ก็เลยปรึกษากันในครอบครัวก็จะมี “น้าสาว” ที่เป็นคนให้คำปรึกษา ซึ่งเขาจะเป็นคนชอบทำอาหาร ทำขนม ส่วนตัวเองเป็นคนชอบกิน ก็เลยปรึกษาเขาว่าเราอยากทำ เราลองแบบทำเองมั้ย ทำมาเสริมเพื่อให้เราได้มีของขายหน้าร้านไปก่อน ตอนนั้นก็เลยเริ่มจากทำเสริม “เริ่มต้นเราก็เลยคิดว่าอยากทำเอง แต่เราอยากสร้างความแตกต่าง ความแตกต่างไม่อยากให้เหมือนที่เรารับเขามาขาย ก็เลยบอกน้าว่าเราอยากทำเป็น “ไส้ลาวา”เริ่มแรกที่ทำเองเลยเนี่ยก็จะเป็นไส้ลาวาเลยค่ะ ฉีกแนวไปเลย แล้วเราก็ทำได้กำลังการผลิตก็ยังไม่เยอะเท่าไหร่ ทำแค่พอขายไปวัน ๆ ค่ะและก็กว่าจะแบบ สูตรจะได้มาลงตัวเราก็ทำทิ้งเยอะ ทำทิ้งทีก็เป็นร้อย ๆ ชิ้น”
สุดท้ายเจ้าที่เราไปรับเขามาขายเขาเห็นว่า เราไม่ได้ขายของเขาเจ้าเดียว เขาก็เลยตัดออร์เดอทั้งหมด ไม่ส่งของให้ เราก็แบบ ช็อตฟีล! เลยตอนนั้น แทบว่ากลางอากาศเลยจะทำอย่างไรดี ขนมปังที่ทำเองก็ยังมีไม่กี่ไส้ ก็ปรึกษากันก็เลยทำเท่าที่ขายได้ไปก่อน
ขนมปังมีหลากหลายให้เลือกได้ แต่ขายราคาเดียว “20บาท”
คุณแอมป์ บอกว่า จากไส้ลาวาที่ทำอยู่ก่อนก็เพิ่มความหลากหลายมีไส้อื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาด้วย หมูหยอง ลูกเกด ฝอยทอง มะพร้าว ฯลฯ โดยที่ “ไส้” คือจะมาจากความชอบของตัวเองก่อนเป็นหลัก ตัวเองเป็นคนชอบกินขนมปังมากตั้งแต่เด็กเลยกินทุกวัน ก็จะรู้ว่าเราชอบไส้อะไร ควรมีไส้อะไรขายบ้าง ก็ค่อย ๆ เริ่มทำทีละไส้สองไส้
“ที่ลูกค้าเขาพูดถึง “ปังเว่อร์”นะคะก็อันดับแรกเลยคือแป้งค่ะแป้งนุ่ม แป้งของเราจะมีความนุ่มฟู แล้วก็วางทิ้งไว้เนี่ยไม่ยุบตัว และก็มีความหอมค่ะ ส่วนไส้ก็ให้ไส้เยอะ ถ้าเกิดเทียบกับในราคาตลาดคือ 20-25 บาทเนี่ย ไส้เยอะค่ะ ไส้พวกลาวาคือบิออกมาแล้วก็ไหลเยิ้มเป็นลาวาเลย”
ราคาขาย 20 บาท คือเน้นซื้อง่าย-ขายคล่อง แต่ว่าลูกค้าบางกลุ่มบางรายก็มีนำไปจัดโปรโมชัน 25 บาท ซื้อ 4 แถม 1 ก็เป็นการดึงยอดขายให้ลูกค้าด้วย กำไรมีแน่นอน เพราะว่าทางร้านปังเว่อร์จะขายส่งให้ลูกค้าอยู่ที่ชิ้นละ 12 บาท ลูกค้านำไปขายชิ้นละ 20 เขาจะได้กำไร 8 บาท
เปิดแฟรนไชส์แบบราคาขายส่ง เพื่อลูกค้าสามารถต่อยอดอาชีพได้
อาจจะเป็นช่วงที่ว่า “ออนไลน์” ก็กำลังมาด้วย เพราะว่ามีการเปิดเพจ “ปังเว่อร์” แล้วก็อยากจะให้ลูกค้าได้รู้จักร้านมากขึ้น เวลาไปขายที่ไหนก็จะถ่ายรูปลงเพจด้วย และก็อีกจุดหนึ่งคือพอเริ่มขายได้สักพักหนึ่งแล้ว เริ่มมีเงินเก็บตอนนั้นมีประมาณ 2 แสน อยากให้ลูกค้ารู้จักปังเว่อร์มากขึ้นก็เลยไปเช่าที่ในห้างฯ ออกบูธขายในห้างฯ ปรากฏว่าตอนนั้นลงไปทั้งหมด 7 ที่ ขายประมาณ 1 สัปดาห์เรารู้เลย! รู้เลยว่าเราไปต่อไม่ได้ เพราะว่า 7 ที่นี่คือ เจ๊งหมดเลย! เพราะว่าอะไร? เพราะว่าตอนนั้นเราไม่ได้วิเคราะห์ไม่ได้วิเคราะห์ตลาดว่าเราควรจะอยู่จุดไหน ที่มันขายดี ในความคิดตอนนั้นคิดอย่างเดียวคือ อยากให้คนรู้จักปังเว่อร์ อยากมีหน้าร้าน อยากขายในห้างฯ
“ขายแค่อาทิตย์เดียวยอดขายตก เพราะว่ามุมอับบ้างอะไรบ้าง ก็เลยคุยกับแฟนว่าเอายังไงดี แค่อาทิตย์เดียวคือเห็นผลแล้วว่ายอดมันไม่ได้ ทีนี้ก็เลยคุยกับแฟนว่าไม่เป็นไร 7 ที่เนี่ยมันพังหมดแล้ว เงิน 2 แสนที่เพิ่งมีเก็บก้อนแรกที่ทำขนมปังมาหมด! ก็เริ่มใหม่คือ หาห้างฯ ใหม่ เอาห้างฯ ใกล้ ๆ บ้านหนึ่งคือประหยัดค่าเดินทาง ประหยัดค่าน้ำมันรถ เราก็ไปนั่งนับคนค่ะนั่งฟู้ดคอร์ดเลยไปเดินดูห้างฯ เลยว่า จุดนี้ที่เราอยากลงเนี่ยมีคนเดินผ่านกี่คน นั่งติ๊กเลยสองคนกับแฟนจับสถิติเลย โอเคคนผ่านเท่านี้เราคิดว่าเปอร์เซ็นต์การขายเราน่าจะได้ เราก็เริ่มลงตรงนั้น เป็นห้างฯ แรกแถวบางใหญ่ใกล้บ้าน ปรากฏว่ากลับเป็นว่าดี ดีกว่าลงตอน7 ที่แรกแล้วไปไกล ๆ ดีขึ้นค่ะ เพราะแอมป์จะเป็นคนที่อยากทำอะไรทำ คิดไวทำไว บางทีเราไม่ได้ดูถึงผลลัพธ์ที่ได้ว่ามันเป็นยังไง มันจะโอเคมั้ย มันจะขาดทุนหรือเปล่า ก็เริ่มใหม่พอตอนนั้นเริ่มที่นึงใกล้บ้านละ มันโอเค การที่เราวิเคราะห์ก่อนมันได้ผลแล้วก็ไปอีกที่หนึ่งไม่ไกลกันมาก ก็วิเคราะห์ใหม่กลับกลายเป็นว่าเปิดใหม่จาก 7 ที่ ที่ปิดไป แล้วเปิดใหม่ 2 ที่เนี่ยยอดขาย 2 ที่เท่ากับ 7 ที่ซึ่งเราเจ๊งมาเลย! ก็ชดเชยกลับมา”
คุณแอมป์บอกด้วย การขายในห้างฯ ช่วงนั้นยอดขายก็ถ้าวันธรรมดา ประมาณ 4000-5000 ถ้าเป็นช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ก็หลักหมื่นบาท ตอนนั้นไส้ขนมหรือความหลากหลายก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 10 กว่าไส้เกือบ 20 ไส้แล้ว เริ่มขยับเริ่มขายได้ก็เริ่มใจใหญ่“ส่วน Shop ตรงนี้คือแอมป์ทำได้หลายปีแล้วกว่าจะมาเป็นหน้าร้านแบบนี้ เพราะว่าเรามีโรงงานมีอะไรแล้วเราก็เริ่มมาทำShop เพราะมีความรู้สึกว่าในห้างฯ เนี่ยเราออกบูธ เราไม่ได้เป็นแบบที่ประจำใช่มั้ยคะ แล้วเราก็ไม่สามารถที่จะการันตีได้ว่าห้างฯ นี้มันจะขายจุดที่เราอยู่เนี่ย มันจะขายดีตลอดหรือเปล่า และก็เดี๋ยวจะมีหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ก็เลยคุยกับแฟนว่าเราอยากเปิด Shop ที่ใกล้บ้าน เพื่อที่จะได้ดูแลง่าย และก็ลูกค้าจะชอบถามว่ามีหน้าร้านมั้ย หน้าร้านอยู่ที่ไหน อย่างเงี้ยค่ะเราก็เลยเปิด Shop นี้ขึ้นมาแล้วก็ตั้งราคาขายส่ง เพื่อที่ลูกค้ามาถึงหน้าร้านปุ๊บอยากลองซื้อไปขายต่อ สามารถซื้อไปได้เลย ราคาส่งเราเริ่มต้นแค่ 30 ชิ้นเองค่ะสำหรับหน้าร้าน”
ลักษณะการขายของร้านปังเว่อร์ คือหลัก ๆ จะเป็นการขายส่ง ขายส่งพร้อมอุปกรณ์ส่งเสริมการขายจะในลักษณะ “รูปแบบแฟรนไชส์” แต่ว่าไม่มีการเก็บค่าแฟรนไชส์เลย เพื่อที่ว่าให้ลูกค้าสามารถไปต่อยอดและก็สร้างอาชีพได้
“แอมป์เคยขายที่ตลาดนัดมาก่อน ช่วงนั้นเนี่ยแอมป์ขายตลาดเช้ากับแฟน เริ่มขายตั้งแต่ประมาณตี 5 ถึง 09.00 น. แอมป์ขายหมดไป 20 ลังก็คือ 600 ชิ้น เพราะว่าคนหนึ่งเวลาซื้อขนมปังน้อยมากที่จะซื้อชิ้นเดียวค่ะ บางคนก็ซื้อ 5 ชิ้น 4 ชิ้นอยู่แล้วค่ะอันนี้คือการันตีการคืนทุนภายในไม่กี่ชั่วโมงจริง ๆ เลยค่ะ เรื่องจริงเลย”
สำหรับลูกค้าที่สนใจเปิดขายใหม่ ขั้นต่ำก็จะมีเซ็ตทดลองขายตั้งแต่ลังแรก ในที่นี้สำหรับลังแรกก็คือจะเป็นกลุ่มลูกค้า “ร้านกาแฟ” และก็ร้านขายของชำ ไปทดลองวางขายก่อน1 ลังทางปังเว่อร์จะคละให้ 6 ไส้ แต่ว่า 1 ลังนี้ก็จะตกอยู่ประมาณชิ้นละ 15 บาท พอลูกค้าไปทดลองขายแล้วขายดีรสชาติได้ เขาก็มาเปิดบิล เป็นคล้าย ๆ แฟรนไชส์ เริ่มต้นที่ 6 ลัง (6 ลัง 10 ลัง 30ลัง)บริการส่งได้ทั่วประเทศ “การสั่งคือต้องสั่งล่วงหน้าค่ะ เพราะว่าเราจะผลิตตามออร์เดอ อย่างตอนนี้เราก็มีร้านที่รับขนมเราไปขายแล้ว คร่าว ๆ ก็ประมาณ 400 เกือบ 500 รายทั่วประเทศเลยค่ะ แต่ถ้าเกิดเป็นงานประจำปีเป็นงานกาชาดใหญ่ ๆ เนี่ยแอมป์จะไปเอง แอมป์จะไปขายเองเลยเพื่อที่จะให้ลูกค้าเขาเกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์ของเรา ว่าของเรามันขายได้จริง ๆ “
ฝันที่เป็นจริง
จากแม่ค้าตลาดนัดสู่เจ้าของธุรกิจขายส่งสุดปัง! ในวันนี้เจ้าของแบรนด์ “ปังเว่อร์” บอกกับเราว่า จากวันนั้นถึงวันนี้เข้าสู่ปีที่ 6 แล้วของปังเว่อร์ “ความรู้สึกคือเอาจริง ๆ เลยค่ะ เหมือนเราตื่นจากฝัน เราไม่คิดเลยว่าเราจะแบบมายืนถึงจุดนี้ได้ เรามายืนได้ยังไงมันเหมือนตื่นจากฝันจริง ๆ เพราะปกติเนี่ยเราเป็นแค่พนักงานออฟฟิศและก็ออกไป ขายของตลาดนัดตากแดดตัวดำ แล้วก็อดนอน นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงอย่างเงี้ยค่ะ แล้วมาถึงจุดนี้ได้ก็ถือว่าแบบมันแบบโอ้โห ไม่รู้จะพูดยังไงเลยค่ะ อาจจะเป็นเพราะด้วยเราเองเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ ไม่ย่อท้อ เป็นคนที่มุ่งมั่นมาก แล้วเราก็มีเป้าหมายที่ชัดมาก เป้าหมายแรกเลยที่เราต้องการทำคือ เราอยากให้พ่อแม่สบาย เราอยากมีบ้าน เราอยากมีทุกอย่าง อยากให้ครอบครัวสบายค่ะ เราก็พยายามทำทุกอย่างที่แบบว่า อันไหนทำได้อันไหนเป็นเงินเอาหมด! กำไรบาทสองบาทห้าสิบตังค์ก็เอาค่ะ คือไม่เกี่ยงเรื่องเงินน้อยเลย”
“อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย” คาถาหัวใจเศรษฐี ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากร้านปังเว่อร์ สอบถามเพิ่มเติมโทร.
087-701-7529
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *