เคยขายดีสุดขีด แต่พอโควิด-19 มาทุกอย่างเป็น “ศูนย์” ทันที! บะจ่าง เจ้าเก่า ลุมพินี พลิกวิกฤต “สนามมวย” ปิด! เมื่อทำเลทองการค้าขายหายไป เปลี่ยน! สู่ออนไลน์ยอดขายหลัก “ล้าน!” ต่อเดือน เหมือนเกิดใหม่ ธุรกิจไปได้ไกลกว่าที่เคย
“เฮียลิ้ม” เจ้าเก่าหน้าสนามมวยลุมพินีเก่าบะจ่าง เจ้าอร่อย ที่บรรดาเซียนมวยต่างคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี นานกว่า 50 ปีแล้ว ทั้งเวทีมวยลุมพินีและราชดำเนินซึ่ง 2 สังเวียนการแข่งขันนี้คือ ทำเลทองการค้าการขายดีของบ้าน “ปนัดดาภรณ์” มาตั้งแต่ยุคคุณพ่อของ “เฮียลิ้ม-พิษณุ ปนัดดาภรณ์” ซึ่งได้บุกเบิกทำอาชีพนี้มากับภรรยาคู่ชีวิต มือปรุงรส “บะจ่าง” สูตรโบราณของคนจีน ต้นตำรับขนานแท้โดยคนเชื้อชาติจีน ปักหลักขายดีมาอย่างยาวนานจวบจนกระทั่ง “โควิด-19” เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้! และหากใครที่ยังจำได้มีข่าวในช่วงการระบาดโรคนี้ใหม่ ๆ ในประเทศไทย คลัสเตอร์ของ “สนามมวย” ก็เป็นอีกแหล่งที่สร้างความโกลาหลแตกตื่น และความสะพรึงกลัวโรคติดต่ออุบัติใหม่นี้กันอย่างพอสมควรเลย ผลกระทบจากตอนนั้น ที่นำมาสู่การทำให้กิจการร้าน “บะจ่าง” ทุกอย่างกลายเป็นศูนย์! ทันทีพร้อมไปกับการประกาศสั่งปิดเวทีมวย ห้ามมีการดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อทำเลทองการค้าหายวับไปการทำกินก็ต้องหยุดลงอย่างกลางคัน ภาวะสุญญากาศทางรายได้ที่นานเกิน กว่า 6 เดือนแล้ว! กับชีวิตที่ต้องกินต้องใช้จะทำอย่างไรต่อไป?
“ผมเคยขายแต่สนามมวย ผมก็ไม่รู้จะไปขายที่ไหนแล้ว ที่จะขายได้วันหนึ่งทีละเป็น 200-300 ลูก มันจะมีที่ขายมั้ยจะไปขายตรงไหน แล้วโควิดหมดเลยร้านอาหารก็ปิดหมด ทำยังไง? ก็กินนอนอยู่บ้านเป็นเดือน เงินเก่า ๆ ก็ต้องเอามาใช้จ่าย ซื้อกิน แล้วก็ลูกผมก็ค้าขายเหมือนกันแต่ขายในห้างฯ ก็โดนเหมือนกันปิดหมด ห้างฯ ปิดหมด ผมก็ปรึกษากับลูกว่าทำไงดีเราไม่ไหวแล้วนะ เราต้องกินต้องใช้ ผมบอกอย่างนี้ดีกว่า เราทำบะจ่างเลี้ยงลูกมาจนโตนะ ตั้งแต่ลูกเกิดเลยเลี้ยงมาจนป่านนี้นะ ลองเอาบะจ่างขายออนไลน์มั้ย”
จากคนรุ่นเก่าที่เก่งเรื่องการผลิต แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป.. เมื่อ “ออนไลน์” คือทางเลือกสุดท้ายแล้ว!
เฮียลิ้ม เล่าให้ฟังอีกว่า บะจ่างเป็นอาหารของคนจีนมาจากดั้งเดิมสมัยโบราณแล้ว ซึ่งแม่จะเป็นคนทำ โดยหลัก ๆ ก็จะมีอยู่ 2 ไส้นี้ “ไส้เค็ม” จะมีหมู เห็ดหอม ไข่เค็ม ต่าง ๆ แล้วก็ “ไส้หวาน” ก็เพิ่มเผือกกวนเข้ามาด้วย แค่นั้นเองมี2 อย่างนี้ หลัก ๆของเขามาเลย โบราณเลย มันก็จะมีรส เค็ม มีพริกไทยอีกต้องหอมพริกไทย พริกไทยเยอะ ในหมูก็จะมี ซีอิ๊วเค็ม-ซีอิ๊วหวานพริกไทย เกลือ ไม่ใช้น้ำปลาเลย จะหนักพวกนี้แค่นั้นเอง
“ก็สนามมวยมันมี 2 แห่ง ราชดำเนิน กับลุมพินี มันมีสลับมวยกันผมก็ตามไปขายทุกวัน เนี่ยอยู่อย่างนี้ จันทร์ถึงเสาร์เลย หยุดวันอาทิตย์วันเดียว เพราะว่าคนมันเยอะ แล้วเราขายได้เยอะ วันหนึ่ง ๆ ขายได้เร็ว เราไม่ต้องไปขายทั้งวันตั้งแผงริมถนน หรือว่ามีหน้าร้านมันช้า สนามมวยออกมานี่ ปุ๊บปุ๊บ ๆ กลับบ้านเลย มวยเลิกออกมานี่เขาซื้อกลับบ้านกัน ไวเลย! จัดช่วงเย็น ๆ มวยชก 18.00 น. ใช่มั้ยครับ ผมก็ต้อง 17.00 น. ไปถึงสนามมวยแล้ว จัดร้านจัดของ เตรียมบะจ่างเตรียมแล้ว เพราะคนเริ่มมาแล้ว คนเดินไปเดินมา ขับรถมาซื้อลูก2 ลูก,5 ลูก,10 ลูก แล้วก็ซื้อเข้าไปกินในสนามมวยซักลูกนึง ใส่กล่อง/ถ้วยซื้อไปกิน แต่บางคนก็สั่งไว้เอา10 ลูกนะเดี๋ยวออกมา อีกคน20 อีกคน10 ลูก, 5 ลูก, 20 ลูก สั่งเอาไว้ เราก็พอใกล้มวยจะออกก็เตรียมไว้เลย ใส่แพ็กที่เขาสั่งไว้ แพ็ก ๆ เตรียมไว้ ไม่งั้นมันไม่ทัน พอออกมาก็มาเอาเลย แล้วคนที่มาซื้อเนี่ยไม่ได้สั่งไว้ โอ้โหมันหยิบไม่ทันนะฮะ แป๊บเดียวมวยเลิกภายใน 1 ชั่วโมง หมดเลย! เก็บร้านกลับบ้านเลย”
ครั้งก่อนที่จะเลิกสนามมวย เมื่อประมาณ10 กว่าปีที่แล้ว ขายวันหนึ่ง ๆ 2,000-3,000 ลูก สมัยก่อนมันเป็นเข่งไม้ไผ่ วันหนึ่ง ๆ ต้องมี 5-6 เข่ง(เข่งละประมาณ 100 กว่าลูก) แต่ละครั้งก็คือจะต้องดู “ตารางมวย” ก่อนว่า วันนี้มีมวยดีไม่ดี ถ้ามวยดีเราจะรู้เลยว่าคนจะต้องเยอะแน่ ก็จะต้องเตรียมของเยอะเลย เตรียมไว้เยอะ ๆ เลยทำตั้งแต่ตอนเย็นของวันนี้เลย พรุ่งนี้เช้าทำไว้เลยเตรียมของไว้ถึงบ่าย 4 โมงเลย แล้วก็ทยอยเอาไปที่สนาม “สมัยที่ผมขายแทนพ่อใหม่ ๆ นะ ลูกละ1 5 บาท มีราคาเดียว 15 บาท 7 ลูก 100 บาท ก็คือ 7 ลูก= 105 บาทใช่มั้ยแต่ขาย 7 ลูก 100 บาท ใหม่ ๆ พ่อผมขาย 10 บาทแล้วก็เพิ่มมา 15 บาท คนสั่งที 400 ก็คือ ถุงละ 7 ลูก ๆ 4 ถุง บางคนเอา 2 ชุด พอมาช่วงหลัง 6-7 ปีที่แล้ว ลูกละ 50 บาท เพราะว่าวัตถุดิบมันแพงขึ้นทุกอย่างเลย ลูกค้าก็บอกว่า ผมกินกับคุณนะเฮีย/อาเฮียเรียกผม ผมกินตั้งแต่ 7 ลูก 100 นะ เดี๋ยวนี้เหลือ 2 ลูก 100 ใช่มั้ยครับ เขาเล่นมวยมานาน เขาบอกเดี๋ยวนี้ 2 ลูก 100 แล้ว”
ยึดมั่นคุณภาพ “คุ้มราคา”
แต่ไซส์หรือขนาดของบะจ่างยังคงเท่าเดิม เพราะตอนนั้นวัตถุดิบมันยังถูกอยู่ และก็พอมันแพงขึ้นทุกอย่างเราก็ต้องตามวัตถุดิบ ไม่งั้นก็อยู่ไม่ได้ แต่ว่ายังต้องคง “เครื่องแน่น” ของต้องครบ ลดไม่ได้เลย! อย่างวันนี้ที่เราขายอยู่60 บาท ให้ไม่ลดเครื่อง!เหมือนเดิม เหมือนที่เคยขาย 50 บาทเลย จาก 50 เป็น 60 เราต้องเครื่องเท่าเดิม ไม่มีการลด! “ไม่มีอะไรหายไป ไม่มีอะไรน้อยลง” เพราะเรารักษามาตรฐานตัวนี้ คนกินเขารู้
พอโควิดปั๊บ ประกาศปุ๊บ มวยไม่มีเลย! หยุดทุกอย่าง แล้วผมเคยขายแต่สนามมวย ทีนี้ ก็เอาสิ! ลองทำดู “ขายออนไลน์ ให้เขาทำทางโทรศัพท์ จ้างเขาถ่ายเป็นคลิปวิดีโอแล้วเอาไปลงใน facebook เพราะมันไม่มีทางเลือกแล้ว อยากลอง! เราจนตรอกแล้วตอนนั้น ไปขายแบบเดิมก็ไม่ได้แล้ว ก็เลยปรึกษากันเลยว่าจะทำแบบนี้ จ้างเขาทำ ถ่ายวิดีโอแล้วมาลงขายใน facebook เปิดเพจขึ้นมา แล้วลงใหม่ ๆ ก็บางวัน 100 ลูก, 70-80 ถึง 200 มันก็เพิ่มไปเรื่อยนะครับ เพิ่มเป็นรายวันเลย จากวันนี้กระโดดอาทิตย์หน้ากระโดดเป็น 500 แล้ว 800 แล้ว ทีนี้เราทำ 3-4 คนไม่ทันแล้ว! ต้องเอาคนงานมาเพิ่ม ก็วันหนึ่ง ๆ ทำเป็น 1,000 ลูก ใหม่ ๆ วันหนึ่ง 1,500 ยังไม่พอเลย เนี่ยที่เขาทำส่งแบบนี้ส่งต่างจังหวัดส่งเคอรี่ วันหนึ่ง ๆ ทำ 2,000 ลูก ทุกวันนี้ทำวันหนึ่ง 2,000 กว่าลูก”
เหลือเชื่อเลย เอ๊ะ! มันขายได้นี่นา ขายตั้งแต่โควิดมาถึงตอนนี้ 2 ปีกว่าแล้ว โควิดมาใหม่ ๆ 6 เดือนแรกไม่ได้ทำเลย พอเริ่มจับมาเริ่มทำมามันก็เพิ่มมาเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าเรา “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส” พอเห็นแล้วว่ามันไปได้ ก็ลงมาแบบเต็มตัวเลยทีนี้ สร้างห้องเย็นเพื่อการรองรับการผลิตพร้อมเลย
เปลี่ยน! ขายบะจ่างออนไลน์ เหมือนเกิดใหม่! ธุรกิจไปได้ไกลกว่าที่เคย
เพราะเราต้องมีตู้เย็นเก็บ เราต้องทำเยอะ ๆ เก็บไว้เป็นสแปร์ใช่มั้ยครับ มันไม่พอ เราต้องมีเก็บไว้เลยต้องสร้างห้องเย็นขึ้นมา(2แสน) แต่ก่อนไม่มีแบบนี้ใช้ตู้ไอติมแช่ฟรีซไว้ธรรมดา 2 ตู้ เก็บได้100 กว่าลูก 200 ลูก ทีนี้มันเยอะแล้วนี่วันนึงเป็นพัน มันไม่พอต้องใช้ตู้แบบนี้แล้ว คนงานตอนนี้ที่บ้านมีเป็น 10 คน
“มันจะมีสั่งทางเพจเข้ามา สั่งเข้ามาทางลูกนะฮะ เขาจะบอกเลยระบุเมื่อไหร่ จะเอาเมื่อไหร่ สั่งวันนี้ พรุ่งนี้ได้ ส่งที่ไหนเขาจะมีที่อยู่ ส่งเคอรี่ ต่างจังหวัด ถ้าในกรุงเทพฯ มีที่อยู่นี่ เราส่งไปกินแบบสด ๆ เลย อย่างเมื่อเช้าที่มีมอเตอร์ไซค์ไปส่ง อันนี้คืออุ่นร้อนให้แล้ว ไปถึงกินได้เลย แต่ที่ฟรีซนั่นคือส่งเคอรี่หมดเลย เพราะว่ามันอยู่ได้เป็นวัน พรุ่งนี้เช้าสาย ๆ ถึง ถ้าเราส่งแบบนี้ไปมันอาจจะเสียได้ ดังนั้นต้องส่งแบบเย็น(ฟรีซ) ไปเลย ไปถึงก็อุ่นกินได้เลย หรือถ้ายังไม่กินเลยก็ฟรีซในช่องฟรีซไว้ ได้เป็น2-3 อาทิตย์ หรือ1 เดือนผมเคยทดสอบแล้ว พอจะกินก็เอาออกมาวางไว้ให้มันละลายก่อน นิ่มแล้วก็เอาไปอุ่น(นึ่ง) กินได้ รสชาติเหมือนเดิม มันอยู่ได้ไม่เสีย ถ้าธรรมดาก็วันเดียวพอ ถ้า2 วันมันอาจจะเสียเพราะว่าเราไม่มีสารกันบูด แล้วก็ยังมีเคลมให้ด้วยนะที่ส่งต่างจังหวัด ส่งเคอรี่เนี่ยถ้าเสียเป็นยางยืดเสียหรืออะไร เราเคลมใหม่หมดเลย เราไม่ให้เสียชื่อ”
ปัจจุบันสำหรับราคาจำหน่าย “ไส้เค็ม” ลูกละ 60 บาท และก็ “ไส้หวาน+เค็ม” คือเพิ่มเผือกกวนอีก5 บาท เป็นลูกละ 65 บาท มี2 ราคานี้ ซึ่งในแต่ละช่วงก็อาจจะมีโปรโมชั่นแบบ “ส่งฟรี” ด้วย แต่ถ้าช่วงไหนไม่มีโปรโมชั่นเป็นแบบส่งปกติก็อาจจะต้องมีค่าบริการส่งคิดตามระยะทางที่ผู้ให้บริการนำส่งกำหนด อย่างนี้เป็นต้น
ยอดสั่งผลิตต่อวันหลัก 1,000 ขึ้น!
เฮียลิ้ม ยังพูดถึงความแตกต่างของการค้าการขายผ่านช่องทางใหม่นี้ด้วย มันดีก็ตอนที่ว่า ผมผลิตตอนนี้นะผมให้ลูกขาย ลูกเป็นคนขายอย่างเดียวเลย ผมเองก็ผลิตอย่างเดียว ผมก็ไม่ต้องไปขายแล้ว เพราะว่าถ้าผลิตเองด้วยขายเองด้วยแบบนี้นะ ผมก็ทำไม่ได้ คนเป็นสิบก็ยังทำไม่ได้เลย ไหนจะต้องคอยรับโทรศัพท์ ทำ สั่งของ แล้วก็ต้องผลิตด้วย ทำไม่ได้ ขนาดลูกทำ 4-5 คน ขายอย่างเดียว เขายังวุ่นวายเลย
“ของผมนี่ ทางโน้นยิ่งยุ่งใหญ่(ที่บ้านเดิมย่านบ่อนไก่) วัตถุดิบต้องสั่งเข้าทุกวันเลย อย่างที่เห็นตอนนี้ นี่คือน้อยนะครับ หมูวันหนึ่ง ๆ 5 กะละมัง วันนี้หยุด ถ้าธรรมดาวันหนึ่งหมูใช้ 100 กิโล เพราะผลิตทีละ 2,000 กว่าลูกต่อวัน ใช้ทุนหมุนเวียนต่อวันกว่า 7-8 หมื่นบาท ค่าวัตถุดิบ แล้วคนงานค่าแรงเขาอีกล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นราคาแพงหมดเลยกำไรแย่เลยเนี่ย ต้องประหยัดต้องเซฟแล้วนะ เพราะว่ามันกำไรน้อยลง เราจะไปขึ้นราคาเดี๋ยวลูกค้าก็หนีอีก ใช่มั้ยครับ เรากลัวตรงนี้ที่สุดเลย”
เฮียลิ้ม ยังบอกด้วย จากทีแรกลองทำดูไม่รู้ว่ามันจะไปได้มั้ย คนรุ่นใหม่เขาจะกินเป็นไหม พอมีการสั่งมาเออคนรุ่นใหม่เขากินเป็นนะ มันไปได้นี่นา เราถึงได้ยอดโตขึ้นมาถึงขนาดนี้ คนรุ่นใหม่เขากินเป็น ชอบอีก อ้าวตลาดเราก็ไปได้ อย่างในสูตรเองก็มีที่เพิ่มเติมขึ้นมาอีกตอนหลังคือ จะมี “เกาลัด” กับ “แปะก๊วย” ซึ่งจริง ๆ ของพวกนี้มันมีนานแล้ว แต่ว่าเราไม่ได้ใส่สมัยก่อนไม่ได้ใส่ มาใส่เพิ่มในช่วง10 กว่าปีมานี้ เพื่อเพิ่มเครื่องให้มันดูหลากหลาย มันน่ากินขึ้น อร่อยขึ้น แล้วตัวนี้มันก็แพงเหมือนกันแต่ คนกินแล้วโอเค กินแล้วก็ใช้ได้อร่อย ก็ถือว่าเป็นสูตรที่มีเพิ่มพวกนี้เข้ามาด้วย อย่างอื่นก็ยังมีครบอยู่เหมือนเดิม
สู่ยอดขายหลักล้าน(กว่า3 ล้านบาท) ต่อเดือน!!
การเปลี่ยนผ่านมาสู่ธุรกิจ “บะจ่าง เจ้าเก่า ลุมพินี” ที่เน้นขายผ่านออนไลน์เป็นหลักในปัจจุบัน ต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับในอดีต
โดยเฉพาะเรื่องของยอดขายและการตอบรับจากลูกค้าที่ดีมาก ๆ อย่างเกินคาด นำมาสู่การผลิตอย่างเป็นจำนวนมากด้วย(หลักพันขึ้น!) ต่อวัน เราถามเฮียลิ้มว่า พูดถึงรายได้หรือยอดขายในปัจจุบันสามารถบอกให้ฟังได้ไหม ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มพลางย้อนถามเรากลับมาว่า บอกได้ใช่ไหม สรุปคือทั้งคนถามและคนกำลังจะตอบคำถามต่างหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีก่อนจะตอบให้ฟังว่า“ก็ตกเดือนหนึ่งเกือบ 3 ล้าน” อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านกว่า แต่ว่าก็ยังไม่ได้หักทุนออกไปนะในจำนวนที่บอกมานี้ ซึ่งถ้าเทียบกับเมื่อก่อนตอนขายอยู่ที่หน้าสนามมวยก็ อย่างราคา 45 บาทกับ 50 บาท วันหนึ่ง ๆ ขายได้ 300-400 ลูก ก็ประมาณหมื่นกว่าบาท บางวันมวยไม่ดีคนน้อยก็ 100 ลูก ก็ประมาณ4,500-5,000 บาท ถ้า 100 กว่าลูกก็ประมาณ6,000-7,000 บาท ซึ่งพอหักทุนออกไปแล้วก็ยังพออยู่ได้
ในอนาคตเรื่องของการผลิตนี้ได้มีการเตรียมส่งต่อ “ทายาทรุ่นที่ 3” การรับช่วงจากเฮียลิ้มซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 ไว้อย่างไรบ้างเจ้าตัวบอกด้วยว่า “ตอนนี้ลูก ลูกเป็นแล้ว เขาห่อเป็นเขาอะไรแล้ว วัตถุดิบเขารู้แล้ว เพราะว่าสูตรเรามีเก็บไว้แล้ว เราเก็บสูตรของเราไว้ให้แล้ว ให้เขา ว่าใส่เท่าไร ใส่ยังไง ปรุงยังไง วัตถุดิบเป็นอย่างไร ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ก็ต้องดีด้วยนะ ไม่ใช่ว่าไปเอาหมูไม่ดีของถูก ๆ ของไม่ดี ของไม่ได้คุณภาพอย่างเงี้ย ไม่ได้! ต้องมาตรฐานของเรา ที่เราเคยใช้สิ่งนี้ ๆ “
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก “เฮียลิ้ม-พิษณุ ปนัดดาภรณ์” ทายาทรุ่นที่ 2 ของธุรกิจ “บะจ่าง เจ้าเก่า ลุมพินี” แบรนด์เก่าแก่ที่ข้ามผ่านกาลเวลามากว่า 50 ปี ได้อย่างโชติช่วงในปัจจุบันหลังการเปลี่ยนผ่านมาสู่ช่องทางการค้าการขายใหม่ ผ่านทางออนไลน์ ซึ่งเป็นการปรับตัวที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถไปได้ไกลกว่าที่เคย เหมือนชีวิตใหม่ ที่พร้อมไปต่อได้อีกอย่างยาวไกลต่อไป
สอบถามเพิ่มเติม โทร.086-311-5582
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด