xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) เลอบอร์นแบรนด์อุปกรณ์กอล์ฟไทยเปลี่ยน! สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สู่ยอดขาย 100ล้าน/ปี #ถอดวิธีคิด แบบโปรเชน-สหรัฐ (ตอนจบ)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“แบรนด์คนไทยใครจะไปใช้ แบรนด์กอล์ฟมันต้องเป็นแบรนด์ต่างประเทศ มันต้องเป็นแบรนด์จากยุโรป มันต้องเป็นแบรนด์แบบที่มันดูไฮเอนด์เท่านั้น คนเล่นกอล์ฟถึงจะใช้ ครับผมก็คือ ทุกคนเชื่อแบบนั้นหมด”


“หากเราเรียนรู้สิ่งนั้นมากพอแล้ว ให้เลือกฟังเสียงของหัวใจตัวเอง” โปรเชน-สหรัฐ มานิตยกุล โปรกอล์ฟตีไกลแชมป์ประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็น co-founder และ owner แบรนด์อุปกรณ์กอล์ฟไทย “LEBORN”(เลอบอร์น) เจ้าแรก! ที่ประสบความสำเร็จมียอดขายมากกว่า 100 ล้าน/ปี หลังจากการเปิดตัวธุรกิจนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีเศษเท่านั้น บอกอีกว่า เหตุผลเดียวที่เราทำ เพราะว่าเพราะเรารู้สึกว่า เรามีความเชื่อบางอย่างว่ามันสามารถเป็นไปได้ ซึ่งคีย์ของมันอยู่ตรงนี้ ประเด็นความเชื่อว่าทำได้มันไม่ใช่ ความเชื่อแบบไม่มีเหตุไม่มีผล แต่มันเป็นเพราะว่า เพราะพวกเราทำบางอย่างมามากพอ เราเลยเชื่อว่ามันสามารถเป็นไปได้ ผมอยู่ในแวดวงของการทำคอนเท้นต์มาร์เก็ตติ้ง มีบริษัทโปรดักชั่น งานโปรดักชั่น ทำเรื่องการสร้าง“แบรนด์” การสร้างภาพลักษณ์มาเป็นสิบปี หุ้นส่วนของผมทำเรื่องProduct เขาขายสินค้า/โปรดักส์ในออนไลน์มาแล้วไม่รู้กี่ตัว เขามีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้เยอะมาก เพราะฉะนั้นเหตุผลเดียวที่ทำให้เราเริ่ม แม้ทุกเสียงรอบตัวเราจะบอกว่า อย่าเริ่มเลย! มันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม แต่เพราะเราเชื่อว่าถ้าเป็นเราทำ เราสามารถทำสิ่งนั้นได้ เพราะฉะนั้นบางครั้งผมอยากจะบอกว่า ความกลัวที่ทำให้เราไม่กล้าลงมือทำบางอย่าง มันไม่ใช่เพราะว่าเราทำไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะว่าเราอาจจะทำบางอย่างมาไม่มากพอ แล้ววันหนึ่งถ้าหากเราเรียนรู้สิ่งนั้นมากพอแล้ว เสียงในหัวเรา มันจะบอกเราเองว่าเราสามารถทำได้ แม้คนทั้งโลกจะไม่เชื่อ ว่าเราจะสามารถทำสิ่งนั้นได้เลยก็ตาม


กลยุทธ์การเจาะตลาดกอล์ฟของแบรนด์ “เลอบอร์น”
โปรเชน-สหรัฐ เล่าว่า ในตลาดกอล์ฟจะค่อนข้างเป็น Red Ocean มันมีการแข่งขันที่สูงในตลาดกอล์ฟเยอะมาก เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เราจะเจาะตลาดกอล์ฟได้ มันมีอยู่3 เรื่องในมุมมาร์เก็ตติ้ง ณ ตอนนั้น เรื่องแรกก็คือ Product ต้องดีก่อน ต่อให้คุณจะขายอะไรไม่ว่าออนไลน์หรือออฟไลน์ คุณอยากทำให้มันเป็นธุรกิจที่ success มาก ๆ สิ่งแรกคือ สินค้า คุณต้องดีและ Quality ของสินค้าต้องมาก่อน ต่อจากนั้นค่อยไปดูว่า ในตลาดกอล์ฟอะไรที่เราสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตลาดได้ อย่างต่อมาก็คือ ยังไม่มีแบรนด์กอล์ฟไหนที่เน้นมาขายสินค้าที่ออนไลน์ เพราะส่วนใหญ่แบรนด์ก็จะเป็น Global เลยแบรนด์จากต่างประเทศ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ฯลฯ เพราะฉะนั้นคนที่มาขายในเมืองไทยก็จะเป็น Distributor และการที่จะมาทำโซเชียลมีเดียมันอาจจะต้องมีขั้นตอนที่มากมาย เพราะฉะนั้นเราก็เลยรู้สึกว่า เดี๋ยวเราจะเข้าไปเป็นเจ้าแรกที่ขายออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มเลย และก็ข้อที่สามคือเรื่อง ความน่าเชื่อถือ เรารู้สึกว่ากอล์ฟไม่ใช่กีฬาที่นักกอล์ฟจะไปซื้อแบรนด์อะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นอีกอันหนึ่งก็คือในเรื่องของ มาร์เก็ตติ้งแบรนดิ้ง ก็เป็นสิ่งที่เราโฟกัสตั้งแต่สตาร์ท “เลอบอร์น” เลย




“แต่ว่าจริง ๆ แบรนด์อื่นก็ทำได้ดีมากครับ เพราะว่าจริง ๆ เลอบอร์นไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเข้ามาแข่งขันในตลาดกอล์ฟด้วยซ้ำ แต่เรารู้สึกว่าเราเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งให้นักกอล์ฟ เพราะว่าจริง ๆ แบรนด์ใหญ่ก็มีโปรดักส์ที่น่าสนใจมากมายอยู่แล้วนะครับ แต่เรารู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นในแง่ไหนก็ตาม ในแง่โปรดักส์ในแง่มาร์เก็ตติ้ง เราแค่ไปทำในสิ่งที่แบรนด์ใหญ่ยังไม่ได้ทำ และรู้สึกว่าอะไรที่มันตอบโจทย์เรา อย่างเช่น หัวไม้อย่างเงี้ยครับ แบรนด์ใหญ่จะทำหัวไม้ที่แบบ mass สามารถแข่งขันได้ เราไม่ได้ทำหัวไม้ที่แข่งขันได้ เราทำหัวไม้ที่นักกอล์ฟเล่นแล้วสนุก ก็คือทำให้เขาเล่น/ตีไกลมากขึ้นแต่ แข่งขันแล้วผิดกฎนะ อะไรแบบนี้ครับ หรือว่า accessory ร่ม แบรนด์กอล์ฟจะทำร่มสักคันมันจะต้องหรู ต้องดูเรียบหรูมาก เราทำการ์ตูนเลยเราทำ mass แบบการ์ตูนลายฟุ้ง ๆ เลย หรือแม้กระทั่งเข็มขัด เราก็รู้สึกว่า เข็มขัดสุดท้ายมันไม่ใช่หล่ออย่างเดียว มันสามารถเอาที่มาร์กติดไว้ที่หัวเข็มขัดได้ เราก็เลยอะแด๊ปมาเป็นโปรดักส์ มันก็เลยจะกลายเป็นว่ามันมีทั้ง Innovation อยู่ในนั้นมันมีทั้ง สิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้าอยู่ในนั้น ผมเลยมองว่ามันก็เป็นโอกาสที่ทำให้แบรนด์เลอบอร์นเติบโตในช่วงเวลาที่ผ่านมา”


แบรนด์อุปกรณ์กอล์ฟไทยเจ้าแรก! การเติบโตโดยเน้นที่ Quality
เป้าแรกเลยที่เราวางเอาไว้ คือจะเป็นแบรนด์อุปกรณ์กอล์ฟไทยเจ้าแรกที่ทำสินค้าครบทุก category ก็คือ เทรนนิ่งเอดจ์ แฟชั่น และก็อุปกรณ์กอล์ฟที่เป็น “ไม้กอล์ฟ” ก็อันนั้น mission ก็ผ่านมาแล้ว “จริง ๆ แน่นอนลึก ๆ เราหวังไปไกลอยู่แล้ว เราหวังว่าจะไปเจาะตลาดต่างประเทศ เราอยากให้เป็นแบรนด์กอล์ฟแบรนด์หนึ่งที่มันมีอยู่ใน หน้าร้านที่อเมริกา อยู่ในญี่ปุ่น อะไรแบบนี้ครับ ก็เป็นดรีมของเราและก็เป็น Goal เป้าหมายหนึ่งครับ แต่ว่าตัวเลขผมคงไม่คอมมิทว่าเท่าไร เพราะว่าจริง ๆ ตัวเลข ณ ตอนนี้ก็ถือว่า มาได้เร็วกว่าที่เราตั้งไว้”


โปรเชน-สหรัฐ ยังบอกด้วย เวลาที่เราอยากโต คนไปเน้นที่เพิ่มจำนวนคน เพิ่มค่าแอด เพิ่มรีวิว เพิ่ม SKU เพิ่มโฆษณา แต่เลอบอร์นจะรู้สึกว่า เราจะเพิ่มที่ Quality ซึ่งในที่นี้ไม่ใช่แค่ Quality ของโปรดักส์ ตัวอย่างเช่น“วิดีโอขาย”วิดีโอการทำคลิปขายบางคนบอกว่าถ้าอยากเพิ่มยอดขายเท่านี้คุณก็ต้องทำวิดีโอให้มากขึ้น ทำรีวิว ให้มากขึ้น แต่เลอบอร์นไม่! เลอบอร์นจะคิดว่าเราจะทำวิดีโอเดียว แต่เราจะทำ Quality อย่างไรให้สามารถสร้างยอดขายแบบนั้นได้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยเป็นที่มาว่า ไม่ว่าจะอยู่ในแผนกไหนของเลอบอร์นมันคือ Quality มันคือคุณภาพในสิ่งที่เราทำนั้น ๆ เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลับมาที่ อย่างสมมุติเป็น “คลิปขาย” บางคนบอกว่าอ้าวแล้วถ้าไม่ทำคลิปขายหลายตัวแล้วคุณจะขายได้ไง ก็เลยกลับมาตั้งโจทย์ว่า Quality ในการทำคลิปขายคืออะไร ในการทำมาร์เก็ตติ้งออนไลน์คืออะไร มันก็คือ “การสื่อสาร” เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องโฟกัสมันไม่ใช่ การเพิ่มจำนวน แต่มันคือการคิดว่าเราต้องสื่อสารแบบไหน มันถึงจะทำให้เราได้กำไรหรือ Max Profit ของเราได้ ก็เลยกลายเป็นที่มาแบบ เลอบอร์นอาจจะไม่ได้เหมือนคนอื่นที่จะเน้นการเพิ่มที่เป็นจำนวน




3 คีย์” แห่งความสำเร็จ ทริคการทำคลิปขายแบบ High Profit
โปรเชน-สหรัฐ ได้พูดถึง การทำธุรกิจออนไลน์ให้ success อย่างไร ผมมองไปที่3 คีย์นี้ คีย์แรกก็คือ จุดที่เราใช้ในการขาย/หรือจุดขาย เวลาที่เราทำสินค้าอะไรเราก็จะมองไปว่า คนที่ใช้สินค้านั้นอยู่แล้ว อย่างเช่น นิทานเด็ก ผมรู้สึกว่านิทานเด็กเป็นสิ่งที่out ไปนานมากแบบ ผมไม่ได้ให้ลูกอ่านแน่นอน เพราะขนาดรุ่นผม ๆ ยังไม่อ่าน แล้วผมก็เห็นแอดนิทานเด็กเขาบอกมาอ่านนิทานเด็กเล่มนี้ภาพสวย สีชัด เนื้อหาสนุก อะไรอย่างเงี้ย ประเด็นคือผมก็ไม่สนใจจะซื้อให้ลูก แต่ผมถึงบอกว่าคีย์ข้อแรกของการขายมันอยู่ที่ จุดที่เราใช้ในการขายหรือจะเรียกว่า จุดขายของสินค้า จริง ๆ ไม่ใช่แค่ออนไลน์แต่มันคือออฟไลน์ด้วยซ้ำ แต่ผมไปเจอแอด ๆ หนึ่งขายนิทานเด็กเหมือนกัน แต่เขาบอกว่า หากลูกได้อ่านนิทานมันคือการที่ลูกจะได้ฝึกการมีจินตนาการเพราะฉะนั้นโอกาสที่ลูกจะค้นพบตัวเองในอนาคตย่อมมากกว่า เขาเอาผลวิจัยต่าง ๆ มาเป็นตัวบ่งชี้ให้ผมเชื่อ ตอนนี้บ้านผมมีนิทานเด็กเป็น 100 เล่มแล้ว มันแค่นั้นเอง คือบางทีเราชอบรู้สึกว่า เราขายสิ่งนี้เราก็ต้องขายคนที่มีความต้องการสิ่งนี้สิ หรืออย่างเช่น แม่ผมครับไม่เคยสนใจเรื่อง “สักคิ้ว” มาก่อนเลย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเวลาเราจะพูดเรื่องสักคิ้ว เขาก็จะขายกันไปที่เรื่องช่างเก่งอย่างไร เข็มเนี่ยมาจากอเมริกาสักสวย สักมิติเยอะ ดูแบบมีเส้นอะไรพวกนี้ แม่ผมไม่สน(แม่อายุ60แล้ว) แต่แม่ผมไปเจอแอดที่เขาบอกว่าสักคิ้วเพื่อ เพิ่มโหงวเฮ้งแบบ 4 มิติ การเงินการงาน การอะไรไม่รู้แหละแล้วแม่ผมก็ และเขาก็มีเหตุผลมาแบบว่าโอเคเส้นนี้มันหมายถึงอะไรอย่างเงี้ย มันมีความหมายนัยสายมูฯ แม่ผมมาขอให้ผมพาไปสักคิ้วที่นี่ ประเด็นก็คือบางทีจุดที่เราใช้ในการขายสินค้าคือ 'King' ของการนำเสนอแต่ว่านักธุรกิจหลาย ๆ คน ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญอะไรมาก แต่ว่าผมยังมองว่าในแง่ของออนไลน์มันยังมี กลุ่มคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเราอีกเยอะ แต่เรายังไม่ได้ทำให้เขาสนใจสิ่งนี้ ผมเรียกว่ากลุ่ม co-audience แล้วกันยังมีกลุ่มนี้ในตลาด อีกเยอะมากที่เรายังไม่ได้ educate product ทำให้เขาแบบสนใจที่จะมีสิ่งนี้




หาดี ๆ อย่าขายแค่คนที่มีความต้องการ แต่มันยังมีกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่มีความต้องการอีกเยอะไม่ว่าคุณจะขายอะไร เรายังหามุมที่เราจะนำเสนอหรือพลิกแพลงไม่ได้ อย่างเพื่อนผม มาปรึกษาผมว่าเขาเนี่ยทำธุรกิจผ้าม่าน เขาขายผ้าม่านมาแบบยอดขายประมาณ 2-3 แสน แล้วก็มีทีมงานหลายคนด้วยนะครับต่อเดือน มาปรึกษาผมว่าตลาดแข่งขันกันสูงมากเพราะว่า มีคนทำเยอะมาก มาปรึกษาผมว่าจะทำยังไงให้ยอดมันโตดี ผมก็เลยนั่งคุยกับเขาแล้วผมก็ให้เขาลองทำ frame work ของผมว่าสินค้าผ้าม่านของคุณมันสามาถหาจุดขายอะไรได้บ้าง ปรากฏว่าผ้าม่านเขามันเป็นผ้าม่านที่มีน้ำหนักและใช้เนื้อผ้าแบบกำมะหยี่ เพราะฉะนั้นมันมีความหนาคุยไปคุยมาจนพบว่า ผ้าม่านเขามันคือผ้าม่านที่ทำให้ “อากาศ” ในห้องมันเย็นขึ้น สมมุติเปิดแอร์ 25 องศาถ้าใช้ผ้าม่านอันอื่นมันจะร้อนกว่า การที่ใช้ผ้าม่านของเขา เขาก็เลยคิดคอนเซ็ปต์ว่าโอเคเราไม่ได้ขายกันที่ดีไซน์ความสวยเหมือนที่เราขายกันแบบเมื่อก่อนแล้ว จุดที่ใช้ในการขายของเขามันกลายเป็นว่า ผ้าม่านประหยัดอุณหภูมิ สามารถทำให้ประหยัดค่าไฟได้ 20% ซึ่งมันสามารถทำได้จริงด้วยนะ ประเด็นคือตอนนี้ยอดระเบิดแบบหลายล้านต่อเดือนจากการขายผ้าม่าน ส่วน ข้อที่2 วิธีการนำเสนอ อันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก คือรูปแบบการนำเสนอให้คนสนใจสิ่งที่เรานำเสนอไปจนจบ ว่าจะพรีเซ้นต์หรือเราจะพิชชิ่งโปรดักส์นี้ยังไง สมมุติว่าเขาสนใจแล้ว อย่างตอนนี้ผมเริ่มสนใจนิทานเด็กแล้ว คุณจะพูดยังไงให้ผมแบบสนใจไปถึงโปรดักส์ของคุณให้ได้ มันก็จะเป็นวิธีการนำเสนอในแบบต่าง ๆ ที่ผมว่าก็ต้องเข้มข้นเหมือนกัน ที่เราจะเข้ามาดึงดูดให้คนสนใจในสิ่งนี้


อย่างแฟนผมครับ เขาอยากได้ครีมตัวนี้มากเลย เขาเลือกแบบมีหลายร้านมาก มี 5-6 ร้านที่เขาจะเลือก สุดท้ายเขาไปซื้อร้านไหนรู้มั้ยครับ เขาไปซื้อร้านที่บอกว่าครีมอันนี้ คือครีมที่ลูกค้าเก่า 95% กลับมาซื้อซ้ำ ประเด็นก็คือแฟนผมฟังแล้วแบบซื้อเลย!คือทริคมีเยอะมาก ที่ผมหยิบเรื่องนี้มาก็คือผมแค่อยากจะบอกว่า ทริคในการทำให้คนอยากได้สินค้าของเรามันก็มีหลากหลายวิธีมากอะไรอย่างเงี้ยครับ อย่างเช่น cost ภาษี ผมไม่ชอบเรื่องภาษี บริษัทผมมีภาษี ผู้ประกอบการไม่ชอบเรื่องภาษี บริษัทผมก็มีคนดูเรื่องภาษีให้ ผมไม่เคยสนใจเรื่อง cost ภาษีเลย จนวันหนึ่งผมไปเจอพี่คนหนึ่งที่สอนเรื่องภาษีเขาบอกว่า ถ้าคุณมียอดขายจุดจุดต่อเดือน(สมมุติ 10 ล้าน/เดือน) แล้วคุณไม่รู้เรื่องภาษี ธุรกิจคุณมีโอกาสเจ๊งใน 2 ปี! ประเด็นคือผมฟังแล้วแบบ จากที่ไม่สนเลยผมสนใจทันที เพราะฉะนั้นแน่นอนไม่ใช่แค่จุดขายที่ดี แต่วิธีการดึงคน การนำเสนอยังไงบางอย่าง มันก็เป็นสิ่งสำคัญในการขายเหมือนกัน ผมไปเจอจุดขายหนึ่งที่เขาบอกว่า นักธุรกิจที่ประเทศจีนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หากคุณอ่าน “สามก๊ก” จบเพียง 1 รอบ คุณจะมีประสบการณ์ในการบริหารคนมากขึ้นไปอีก 30 ปี ซื้อเลย! ซื้อไม่พอไปดูซีรีส์ทุกอันเลยที่เขาทำ ประเด็นก็คือ เพราะว่าเขานำเสนอมัน trash ผมมันคือสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้ว อะไรแบบนี้ครับ ข้อที่สาม สิ่งที่ทำให้ลูกค้าต้องเลือกเรา เพราะว่าถ้าคุณทำข้อ 1 ข้อ 2 มาสนใจแล้ว แต่ประเด็นก็คือ ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องซื้อกับเรา เหมือนแฟนผมครับ ตอนที่เขามีลูกเขาโดนแอดแบบเยอะมาก แล้วเขาสนใจเขารู้ว่าเขาต้องใช้สินค้าชิ้นนี้ เขารู้ว่าคาร์ซีทมันสำคัญ เขารู้ว่ารถเข็นเด็กแบบไฮเอนด์มันสำคัญกับลูกอย่างไร เขาจะสนใจใช่ไหมครับ แต่ว่าด้วยความที่แอดเหล่านั้นไม่ได้บอกว่าทำไมเขาต้องซื้อกับที่นั่น แฟนผมก็เลยไป search ว่าอันไหนคือ option ที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขาก็จะไปเลือก 1 2 3 อะไรเงี้ยครับ เพราะฉะนั้นการทำขายในออนไลน์สำหรับผมนะมันต้องมี 3 ข้อนี้




สู่แบรนด์กอล์ฟไทยมูลค่า 100 ล้าน ในเวลาเพียง 2 ปี
โปรเชน-สหรัฐ มานิตยกุล co-founder และ owner แบรนด์อุปกรณ์กอล์ฟ “เลอบอร์น” ยังบอกด้วย จริง ๆ ถ้าถามว่า 2 ปีมีมากกว่า 100 SKU นี่ถือว่าเยอะมาก เพราะว่าหลาย ๆ แบรนด์ที่เขาอาจจะทำเรื่องแฟชั่นกอล์ฟ ก็อาจจะขึ้นมาแค่แบบเต็มที่ก็ 10 SKU แต่เลอบอร์นถือว่าขึ้น SKU มาเยอะมาก แต่ว่าสิ่งที่เราทำไปควบคู่กันก็คือ และสิ่งที่เราให้มาก่อนการเพิ่มจำนวนก็คือ Quality ไม่ว่าจะทำโปรดักส์แล้วก็แม้เราจะออกโปรดักส์เยอะ แต่เรามีทีมที่ดูเรื่องคุณภาพของสินค้า เราไม่ได้ดูแค่คุณภาพดีอย่างเดียวนะ เราดูว่านักกอล์ฟเอาไปใช้แล้วเขามีประโยชน์อะไร จุดขายที่เราจะใช้ในการขายมันมีอะไรบ้าง อย่างงี้ครับ ก็เป็นพาร์ทหนึ่ง และในแง่ของแบรนดิ้ง การทำมาร์เก็ตตี้งก็ Quality เหมือนกัน เราจะไม่ได้เน้นว่ายิงแอดเยอะ เรารู้สึกว่าถ้าQuality มันดี สมมุติถ้าคลิปขายการทำวิดีโอหรือว่า “การสื่อสาร” มันดีแล้ว เราไปเพิ่มค่าแอดเราจะสามารถทำกำไรได้มากขึ้น แต่ว่ามันอาจจะไม่ได้ตรงกับหลาย ๆ สูตรของคนอื่นแต่ของ “เลอบอร์น” จะเป็นประมาณนั้น ก็คือไม่ว่าจะทำอะไรเราจะมองไปที่ Quality ก่อน และก็จริง ๆ มันคือ logic ของผมตั้งแต่ทำเพจเลยครับ แล้วก็ไอเดียนี้จะเอามาอะแด๊ปใช้กับการทำทุกอย่างในการทำธุรกิจซึ่งหุ้นส่วนผมก็เป็นคนแบบนั้น เขาก็เน้นที่ Quality เหมือนกัน มันก็เลยทำให้เรา join กันได้

“ต้องบอกว่าเวลาของ “เลอบอร์น” เนี่ย ประมาณ 2 ปีกว่าครับ ที่มียอดขายขึ้นมาแตะที่ 100 ล้านลาท/ปี ใช่ครับปีนี้ ปีนี้ยอดขายเกิน 100 ล้านครับผม”



ขอบคุณข้อมูลจาก “โปรเชน-สหรัฐ มานิตยกุล” แบรนด์อุปกรณ์กอล์ฟไทย “LEBORN”



คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น