xs
xsm
sm
md
lg

อพวช.ร่วม มทส.พัฒนาแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ “จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช.โคราช”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป เปิดตัวแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ “จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช.โคราช” ณ อุทยานการเรียนรู้สิรินธร เทคโนธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา เพื่อมุ่งเน้นการสร้างเสริมประสบการณ์และแรงบันดาลใจให้แก่เด็กและเยาวชน ในด้านอาชีพวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในการเรียนรู้ทักษะสู่อาชีพแห่งอนาคต โดยผ่านนิทรรศการสื่อสัมผัส และกิจกรรมที่สนุกสนานและเข้าใจง่าย ชูเป็นแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนแห่งใหม่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

 ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง
รองศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ และ โฆษกกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า “กระทรวง อว.เป็นหน่วยงานหลักที่ผลักดันในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำพาประเทศให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยมีนโยบายสร้างคนและบุคลากรในทุกช่วงวัย โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตในการใช้วิทยาศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคต ส่วนสำคัญที่จะนำพาการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ให้เกิดขึ้นจริงคือ “เยาวชน” ดังนั้น เราในฐานะหน่วยงานภาครัฐต้องผลักดันศักยภาพของเยาวชนไทย โดยผ่านการส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งให้ความรู้และความเข้าใจในด้านอาชีพวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าสนใจ และพัฒนาทักษะให้แก่เยาวชนสู่อาชีพสะเต็ม โดยการเรียนรู้ผ่านแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ตามภูมิภาคทั่วประเทศ ที่พร้อมจะสร้างและพัฒนาคนที่มีคุณภาพสู่ศตวรรษที่ 21 รวมทั้งจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนและประชาชนเห็นถึงประโยชน์จากการวิจัย ที่สามารถนำไปใช้ต่อยอด หรือประยุกต์ได้ โดยพร้อมที่จะปรับตัว และรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต ทั้งยังแสดงถึงบทบาทของนักวิจัยไทยที่จะช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่ชุมชนและสังคมในอนาคตอีกด้วย”

นายสุรวงค์ วงษ์ศิริ
นายสุรวงค์ วงษ์ศิริ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า “อพวช.มีภารกิจในการสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์แก่สังคมไทย และเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ที่ผู้เข้าชมสามารถมาเรียนรู้และค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง โดยปัจจุบันเราเปิดให้บริการ 4 พิพิธภัณฑ์ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ที่คลองห้า ปทุมธานี และ 2 แหล่งเรียนรู้ ได้แก่ “จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. เดอะ สตรีท รัชดา” กรุงเทพฯ และ “จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช.เชียงใหม่” ณ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ถือเป็นการขยายโอกาสการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ อพวช.ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา ส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแก่เยาวชนและประชาชน เดินหน้าขับเคลื่อนขยายโอกาสการเรียนรู้นอกห้องเรียนไปสู่ระดับภูมิภาคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงเยาวชน และประชาชนทั่วประเทศ จึงได้พัฒนาและเปิดแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ ในชื่อ “จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช.โคราช” ณ อุทยานการเรียนรู้สิรินธร เทคโนธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา ขึ้น”


สำหรับ “จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช.โคราช” ถือเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างเสริมประสบการณ์และแรงบันดาลใจให้แก่เด็กและเยาวชน ภายใต้แนวคิด Explore, Enjoy and Inspire โดยให้ผู้ชมเรียนรู้อาชีพวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าสนใจ พัฒนาทักษะสู่อาชีพแห่งอนาคต ผ่านนิทรรศการ สื่อสัมผัส และกิจกรรมที่สนุกสนานและเข้าใจง่าย โดยในส่วนนิทรรศการจะแบ่งออกเป็น 3 โซน ดังนี้

โซนที่ 1 Transportation and Logistics Technology
พบกับ 2 อาชีพ ที่ตอบสนองการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคตด้านเทคโนโลยีการขนส่ง ถือเป็นอาชีพที่น่าสนใจในการตอบสนองความต้องการของกระแสโลกที่หมุนไปเร็วขึ้นทุกวัน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่ง ของฟันเฟืองในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าพัฒนาประเทศ ได้แก่
1. วิศวกรระบบราง (Railway Systems Engineering)
2. วิศวกรโลจิสติกส์ (Logistics Engineering)

โซนที่ 2 Smart Farm Technology
มาเรียนรู้ 4 อาชีพที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมในยุค 4.0 โดยการนำนวัตกรรมมาใช้ในการเกษตร การเพิ่มผลผลิต หรือแม้แต่พัฒนาคุณภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ที่จะช่วยผลักดันประเทศให้เกิดการพัฒนามากขึ้นในการก้าวเข้าสู่เกษตร 4.0 ได้แก่
1. นักอนุกรมวิธาน (Taxonomist)
2. นักปรับปรุงพันธุ์ (Breeder)
3. วิศวกรการเกษตร (Agricultural Engineering)
4. นักวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology Researcher)

โซนที่ 3 Biomedical Technology
เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การดูแลสุขภาพถือเป็นสิ่งที่สำคัญ พบกับ 3 อาชีพที่จะมารองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคตด้านการแพทย์ เพื่อตอบสนองนโยบายการผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รองรับการขยายตัวของกลุ่มสินค้าและธุรกิจบริการสุขภาพ และถือเป็นฟันเฟืองในการพัฒนาประเทศ รวมถึงคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ
1. วิศวกรชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering)
2. นักเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-Aging and Regenerative Medicine)
3. นักเวชศาสตร์เครื่องสำอาง (Cosmetic Science)

​นอกจากนิทรรศการที่น่าสนใจ ยังมีส่วนกิจกรรมการทดลองแสนสนุกด้านวิทยาศาสตร์ ได้แก่
- กิจกรรม Inspire Lab พบกับการทดลองที่ผู้ทดลองจะได้เห็นผลด้วยตัวเองตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยปลูกฝังกระบวนการคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา และฝึกทักษะพื้นฐานการใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์
- กิจกรรม Innovation Space พื้นที่สำหรับสร้างสิ่งประดิษฐ์ด้วยตนเอง เน้นการแก้ปัญหาตามที่โจทย์กำหนด เรียนรู้จากการลงมือทำเพื่อเสริมสร้างทักษะการเป็นนักประดิษฐ์ สร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ขั้นพื้นฐาน และพัฒนาต่อยอดความคิดไปสู่นวัตกรรมที่พร้อมผ่านกระบวนการทางสะเต็มศึกษา (STEM Education) ที่เชื่อมโยงกับอาชีพวิทยาศาสตร์


นายสุวรงค์กล่าวเพิ่มเติมว่า “อพวช.หวังว่าแหล่งเรียนรู้แห่งนี้จะช่วยขยายโอกาสทางการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำให้แก่เยาวชนในภูมิภาคของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปรียบเสมือนเป็นฟันเฟืองในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต รวมทั้งเป็นสถานที่ที่จะสร้างความสุขสนุกสนานให้แก่ทุกๆ คนในครอบครัวในการได้เล่น เรียนรู้ และได้ใช้เวลาร่วมกันได้อย่างดี”

“จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช.โคราช” เปิดให้บริการทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : NSMScienceSquareKorat และสอบถามหรือจองเข้าชม โทร. 0-4422-5098

นอกจากการเปิดแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่แล้ว อพวช.ยังได้ส่งเสริมและผลักดันงานวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสร้างความตระหนักและความเข้าใจให้แก่ชุมชนท้องถิ่นภาคอีสาน ในการร่วมกันอนุรักษ์และเห็นคุณค่าทรัพยากรท้องถิ่นให้มากยิ่งขึ้น สร้างการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น พร้อมเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนนำไปสู่การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี นวัตกรรม และสิ่งแวดล้อม ร่วมกับสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จ.นครราชสีมา โดยมีนักวิชาการของ อพวช.ลงพื้นที่ไปยังสถานีวิจัยฯ สะแกราช เพื่อศึกษาและทำงานวิจัยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน


หนึ่งในนักวิชาการของ อพวช. ดร.วียะวัฒน์ ใจตรง นักวิชาการ 8 กองวิชาการสัตววิทยา สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา อพวช. ผู้อยู่เบื้องหลังงานวิจัยที่สร้างผลงานโดดเด่นอย่างการค้นพบมดชนิดใหม่ของโลกมามากมาย รวมถึงการค้นพบ “มดอาจารย์รวิน” ซึ่งถือเป็นการค้นพบมดชนิดใหม่ของโลก ที่นับเป็นสมบัติอันมีค่าของประเทศ บ่งชี้ถึงดัชนีของความอุดมสมบูรณ์บนผืนป่าในภาคอีสานของประเทศไทย ซึ่งได้ถูกค้นพบที่สถานีวิจัยฯ สะแกราช เผยว่า “ทีมนักวิจัยของ อพวช.ได้ทุ่มเทในการศึกษาวิจัยงานด้านธรรมชาติวิทยาและความหลากหลายทางชีวภาพมาอย่างจริงจัง ซึ่งมีเป้าหมายและแนวความคิดในการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาใช้พัฒนา ต่อยอด และถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆ ไปยังประชาชนในสังคม หวังจะสร้างสังคมให้มีความตระหนักและเข้าใจการอยู่ร่วมกันของคนและธรรมชาติต้องรู้จักอาศัยเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ในการร่วมกันอนุรักษ์และหวงแหนทรัพยากรของประเทศให้คงอยู่ได้อย่างยาวนาน ที่สำคัญยังมีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายหลายชนิดที่เรายังไม่รู้จัก และกำลังจะสูญพันธุ์ไปก่อนที่เราจะค้นพบ สืบเนื่องจากการที่ถิ่นอาศัยถูกคุกคามโดยกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ดังนั้น ก่อนที่พืชหรือสัตว์เหล่านี้จะสูญหายไปเราจำเป็นต้องช่วยกันศึกษาและรักษาทรัพยากรธรรมชาติของเราอย่างจริงจัง และงานวิจัยเหล่านี้จะสามารถเป็นจุดเปลี่ยนให้แก่เยาวชน และประชาชนได้หันมาสนใจเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม และถือเป็นก้าวเล็กๆ ให้คนหันกลับมามองเห็นคุณค่าของทรัพยากรท้องถิ่นกันมากยิ่งขึ้น”

อพวช.จะมุ่งมั่นและผลักดันการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพในด้านต่างๆ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ว่ามีความสำคัญต่อการอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และการคงอยู่ของโลกเรา ถือเป็นโมเดลสำคัญสู่ท้องถิ่นที่จะนำพาประเทศของเราไปสู่อนาคตอันยั่งยืนต่อไป



กำลังโหลดความคิดเห็น