แพทย์หญิง อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงการนำฟ้าทะลายโจรมาใช้กับผู้ป่วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ในระลอกใหม่เดือนเมษายน 2564 สืบเนื่องมาจากที่ผ่านมาได้ทำการทดลองกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง หรือผู้ป่วยในระยะเริ่มต้น จำนวน 314 ราย แบบต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 วัน ผลออกมาผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น จะมีเพียง 3 รายที่ยังคงมีอาการทรุดลง และมีอาการปอดบวม ในขณะที่ผู้ป่วยไม่ได้รับยาฟ้าทะลายโจร พบว่ามีอาการดีขึ้นเพียง 77 ราย จากผู้ป่วยที่ไม่ได้ทดลองใช้ยาฟ้าทะลายโจร 500 กว่าราย
นอกจากนี้ ในส่วนของค่ารักษาพยาบาล ได้มีการเปรียบเทียบค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด-19 ที่ใช้ยา 3 ประเภท เป็นระยะเวลา 5 วัน หรือหนึ่งคอร์ส ได้แก่ ยาพาราเซตามอล ค่ายาอยู่ที่จำนวน 60 บาทต่อ หนึ่งคอร์ส ในขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravia) ที่ไทยใช้รักษาโรคโควิด-19 มาตลอด มีค่ารักษาต่อคอร์ส 5 วัน สูงถึง 4,800 กว่าบาท ในส่วนของฟ้าทะลายโจร ยาสมุนไพรที่นำมารักษาโควิด ให้ติดต่อกัน 5 วัน ค่ายาอยู่ที่ประมาณ 180 บาทต่อราย หรือเมื่อเทียบการรักษา ผู้ป่วยโควิดที่ใช้ยาฟ้าทะลายโจร กับ ยาฟาวิพิราเวียร์ อยู่ในสัดส่วนค่าใช้จ่ายคือ 1 ต่อ 8 คือค่าใช้จ่ายผู้ป่วยใช้ฟ้าทะลายโจร 8 คนเท่ากับค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยยาฟาวิพิราเวียร์ 1 คน
สำหรับประสิทธิภาพของยาฟ้าทะลายโจร ที่ผ่านมากรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกได้ผ่านการทดลองในหลอดทดลอง พบว่าฟ้าทะลายโจรสามารถกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ แต่ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสดังกล่าวได้ จึงเหมาะต่อการใช้เพื่อกำจัดเชื้อไวรัสเท่านั้น การรับประทานก็ต้องรับประทานติดต่อกัน 5 วัน และหยุดกิน 2 วัน หรือตามแพทย์สั่งเท่านั้น เพราะแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย เนื่องจากฟ้าทะลายโจรมีผลต่อการทำงานของตับ และไต ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาเรื่องตับ และไต ผู้หญิงมีครรภ์ ให้นมบุตร ห้ามรับประทาน
ในส่วนของผู้ผลิตฟ้าทะลายโจร ก่อนนำออกจำหน่ายจะต้องผ่านการตรวจสอบประสิทธิภาพในห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก่อน ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำงานร่วมกับองค์การอาหารและยา หลังจากรัฐบาลประกาศให้ใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาโรคโควิด ทำให้มีผู้ประกอบการสนใจส่งฟ้าทะลายโจรมาให้ตรวจเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ทำผลิตภัณฑ์ยาฟ้าทะลายโจรที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพทางห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้วจำนวน 300 รายที่พร้อมรอจำหน่าย จะมีทั้งบริษัทเอกชน ผู้ประกอบการรายย่อย และโรงพยาบาล ฯลฯ
นอกจากนี้ ในส่วนของสารมาตรฐานที่นำมาใช้ตรวจสอบประสิทธิภาพของยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เดิมต้องนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา และครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่สามารถผลิตสารมาตรฐานที่ใช้ตรวจสอบยาฟ้าทะลายโจรได้เป็นครั้งแรก ทำให้เราลดต้นทุนการนำเข้าสารมาตรฐานได้ 3-4 เท่าตัว ส่วนบริษัทเอกชนที่ต้องการทดสอบเอง ก็สามารถที่จะมาซื้อสารมาตรฐานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ฯ ไปใช้ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ถ้าผลการใช้ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรสามารถที่จะรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้ ผลที่ประเทศจะได้มหาศาล เพราะไม่ใช่แค่ประหยัดเงินในกระเป๋าของรัฐบาลโดยไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากเพื่อซื้อยาราคาแพงจากต่างประเทศ และยังเป็นโอกาสให้แก่ผู้ผลิตฟ้าทะลายโจรในประเทศไทยได้มีโอกาสส่งออกสมุนไพรไทย สร้างรายได้ให้แก่ประเทศในอนาคต แต่ขณะนี้สิ่งสำคัญ คือ จะต้องมีผลการวิจัยและทดลองที่ได้มาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับก่อน