กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผยเอฟทีเอช่วยหนุนยอดส่งออก “ไอศกรีม” เติบโตต่อเนื่อง ปี 63 ส่งออกไปตลาดคู่เจรจาเอฟทีเอมูลค่า 75.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 3% คิดเป็นสัดส่วน 86.1% ของการส่งออกทั้งหมด แถมช่วยดันไทยขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 4 ประเทศผู้ส่งออกไอศกรีมของโลก แนะผู้ประกอบการพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน ใช้ความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ สร้างความหลากหลายให้สินค้า ป้อนความต้องการ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยว่า กรมฯ ได้ติดตามการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ของสินค้าต่างๆ โดยล่าสุดพบว่าไอศกรีมเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นสินค้าที่เอฟทีเอได้มีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากสินค้าไอศกรีมและน้ำแข็งอื่นๆ ที่บริโภคได้ทุกรายการที่ส่งออกจากไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจาก 17 ประเทศคู่เอฟทีเอแล้ว ได้แก่ อาเซียน จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ชิลี เปรู และฮ่องกง เหลือเพียงญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวที่ยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไอศกรีมและน้ำแข็งอื่นๆ ที่บริโภคได้ที่ 21-29.8%
ทั้งนี้ ในปี 2563 ไทยส่งออกไอศกรีมไปยังประเทศคู่เอฟทีเอ มีมูลค่า 75.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3% คิดเป็น 85.1% ของการส่งออกไอศกรีมทั้งหมดของไทย โดยส่งออกไปอาเซียน 63.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 1% มีมาเลเซียเป็นตลาดส่งออกหลัก เพิ่ม 24% เกาหลีใต้ 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 275% ออสเตรเลีย 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 328% และฮ่องกง 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 11%
ขณะเดียวกัน ไทยยังขยับอันดับขึ้นมาเป็นประเทศผู้ส่งออกไอศกรีมสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร และเป็นอันดับที่ 1 ในอาเซียนในปี 2563 ด้วย
นอกจากนี้ ในระยะยาวคาดว่าอุตสาหกรรมไอศกรีมของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ด้วยศักยภาพการผลิตสินค้า ข้อได้เปรียบจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรี ตลอดจนความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบที่หลากหลาย ส่งผลให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ จึงถือว่าไทยมีความพร้อมที่จะก้าวไปเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไอศกรีมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ และยังพบว่าปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตไอศกรีมรายใหญ่ของโลกต่างเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกไอศกรีมในภูมิภาค
“ผู้ประกอบไทยควรให้ความสำคัญต่อการรักษาคุณภาพมาตรฐานในการผลิต พัฒนาสินค้า คิดค้นรสชาติไอศกรีมที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น การเพิ่มส่วนผสมผลไม้เมืองร้อนกลุ่มมะพร้าว มะม่วง ทุเรียน ไอศกรีมจากนมถั่วเหลือง ไอศกรีมไขมันต่ำ ไอศกรีมน้ำตาลน้อย ตลอดจนไอศกรีมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงสุขภาพ เพื่อสร้างจุดขายไอศกรีมไทยในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมอาหารเพื่อสุขภาพ และทำให้ไอศกรีมของไทยเป็นที่รู้จักและครองใจผู้บริโภคในตลาดโลกยิ่งขึ้น” นางอรมนกล่าว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด * * *