กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผยมีสินค้าหลายรายการมีความเสี่ยงที่อียูจะหันไปนำเข้าจากเวียดนามแทนหากต้นทุนถูกกว่าหลังเอฟทีเอมีผลบังคับใช้ แนะผู้ประกอบการปรับตัว พัฒนาคุณภาพ มาตรฐานสู้ และใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอส่งไปขายคู่ค้าอื่น รวมถึงเตรียมใช้ประโยชน์จากอาร์เซ็ปเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมเร่งแก้เกมเดินหน้าฟื้นเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ประเมินกลุ่มสินค้าสำคัญที่ไทยต้องจับตามองและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างสหภาพยุโรป (อียู) กับเวียดนามที่ได้มีผลใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2563 โดยพบว่ามีสินค้าที่ต้องจับตา เช่น เส้นพาสตา ข้าว ปลาปรุงแต่ง ปลาหมึกกระป๋อง ยางล้อรถจักรยาน ทุเรียน และน้ำผักและผลไม้ เป็นต้น เพราะเดิมอียูนำเข้าจากไทยจำนวนมาก แต่อาจมีการนำเข้าจากเวียดนามแทนหากต้นทุนการนำเข้าจากเวียดนามถูกกว่า โดยอียูและเวียดนามได้เปิดตลาดการค้าสินค้า โดยยกเว้นภาษีระหว่างกันในระดับสูง หรือกว่า 99% ของจำนวนรายการสินค้าทั้งหมด
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาดอียู ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัว โดยสร้างความแตกต่างให้แก่สินค้า โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพและยกระดับมาตรฐานสินค้า รวมถึงใช้ช่องทางการส่งออกด้วยสิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอฉบับต่างๆ ที่ไทยมีกับประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ เช่น อาเซียน จีน และญี่ปุ่น รวมทั้งเตรียมการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ที่จะมีผลใช้บังคับในอนาคต เพื่อเร่งขยายการค้าในตลาดอื่นๆ และลดความเสียเปรียบทางภาษีศุลกากรที่หายไปในตลาดอียู
“นอกจากอียูจะทำเอฟทีเอกับเวียดนามและสิงคโปร์แล้ว ยังมีประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นที่อียูอยู่ระหว่างการเจรจาเอฟทีเอ เช่น อินโดนีเซีย และพิจารณาฟื้นการเจรจาเอฟทีเอกับไทย ซึ่งในส่วนของไทย กรมฯ อยู่ระหว่างการหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อพิจารณาเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอกับอียู หากทุกภาคส่วนเห็นพ้องว่าควรฟื้นการเจรจา กรมฯ จะรวบรวมผลการศึกษาและความคิดเห็น รวมทั้งจัดทำกรอบเจรจาเสนอกระทรวงพาณิชย์เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป” นางอรมนกล่าว
ในปี 2563 อียูเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย โดยไทยส่งออกไปอียูมูลค่า 17,637 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ยาและเวชภัณฑ์ เครื่องมือทางทัศนศาสตร์ และยานยนต์และชิ้นส่วน และนำเข้าจากอียูมูลค่า 15,496 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน และอัญมณีและเครื่องประดับ