ยักษ์ใหญ่ใจดี ร้านกะเพราจานละ 20 บาท ที่ไม่ได้มีดีแค่ราคาถูก เพราะทางร้านให้ความสำคัญกับการเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยต่อสุขภาพมาเสิร์ฟให้กับลูกค้า ความสำเร็จของทางร้านนี้ไม่ใช่เรื่องของรายได้ แต่ความสำเร็จ คือ การได้เดินตามรอยศาสตร์พระราชา “ขาดทุน คือ กำไร”
จากโรงงานน้ำมันมะพร้าว มาขายข้าวผัดกะเพรา
นายรุจน์ สุวรรณเสรีเกษม เจ้าของโรงงานผลิตน้ำมันมะพร้าว รายใหญ่ ที่จังหวัดชุมพร และยังเป็นเจ้าของสวนมะพร้าวกว่า 300 ไร่ เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่มาทำร้านอาหาร ยักษ์ใหญ่ใจดีในครั้งนี้ เกิดขึ้นมาจาก ตัวผมเองอยู่ในวงการเรื่องสุขภาพมาระยะหนึ่ง หลังจากได้มาทำสมุนไพรรักษาสุขภาพ และมาทำโรงงานน้ำมันมะพร้าว โดยตนเองมองว่าทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่กินอาหารแบบไม่เข้าใจเรื่องหลักโภชนาการและป่วยกันเยอะ ผมก็เลยคิดว่าทำยังไงให้เอาอาหารราคาที่ไม่แพง แต่ส่งออกไปให้เขารับรู้ว่ามัน กินแล้วสุขภาพดีได้นะ ก็คิดไอเดียเปิดร้าน “ยักษ์ใหญ่ใจดีนี้ ขึ้นมา” ร้านนี้ ผมตั้งใจไว้ว่า จะนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้
โดยเริ่มจากการขายกะเพราจานละ 20 บาท ซึ่งเราไม่ใช่เพียงคิดแค่ว่าจะขายราคาถูกเท่านั้น แต่ผัดกะเพราทุกจานที่ทำออกไปเราใส่ใจทุกจาน คือ ครอบครัวเรากินแบบไหน เราก็ทำให้ลูกค้ากินแบบนั้น โดยเลือกใช้วัตถุดิบ ส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพ เช่น เราใช้ข้าวหอมมะลิอย่างดี ปลอดสารพิษ และผสมข้าวไรซ์เบอร์รี่เข้าไปด้วย และในส่วนผสมอื่น ๆ อย่าง หมู กะเพรา พริก กระเทียม ทำอย่างไรให้ตรงนี้มันปลอดภัยยิ่งขึ้น ผมก็นำมาผ่านโอโซนมาล้างโอโซน โอโซนช่วยล้างสารพิษได้ดีที่สุดตัวนึง และเวลาผัดเราก็ใช้น้ำมันมะพร้าวในการทำอาหาร โดยไม่ใช้เครื่องปรุงรสหรือของปรุงแต่งเข้าไป คือ ต้องการให้ผู้บริโภครับรู้เลยว่า สิ่งที่เรากินเข้าไปมันปลอดภัย 100% ตามสโลแกนของร้าน “พอเพียง พอใจ ปลอดภัย แบ่งปัน รักษ์โลก” นี่คือ คอนเซ็ปต์ของที่ร้าน ที่เราต้องการส่งตรงนี้ออกไป ให้ผู้บริโภคเข้าใจมากขึ้น รวมไปถึงผู้ประกอบการรายอื่นๆ เห็นถึงความสำคัญของการทำอาหารปลอดภัยให้ลูกค้า ผมอยากให้คนไทยไม่ป่วย ไม่กินอาหารที่เป็นพิษ ในราคาที่คนทุกกลุ่มทุกระดับจับต้องได้
เสิร์ฟลูกค้าทุกระดับตั้งแต่บน ถึง ล่าง
ทั้งนี้ จะเห็นว่าร้านของเราจะมีคนมากินทุกระดับตั้งแต่ระดับบน ไปจนถึงระดับล่าง และใครที่ไม่มีเงิน ทางร้านก็มีคูปองกินฟรี ที่เราติดไว้ที่กระดานส่งต่อความสุขที่ตั้งไว้หน้าร้าน ที่มาของกระดานนี้ เกิดขึ้นมาจาก ที่ผ่านมา ทุกวันผมจะนำเงินส่วนตัว 1,000 บาท ใส่ไว้ในกล่อง เพื่อเป็นทุนตั้งต้นของร้าน ซึ่งเงิน 1,000 บาท จะนำมาแลกอาหารกินฟรีวันละ 50 จาน และใครอยากจะร่วมกับเราก็นำเงินมาสมทบได้ รายได้ที่ได้นอกจากจะนำมาเป็นคูปองติดไว้ที่กระดานส่งต่อความสุขแล้ว ส่วนหนึ่งนำไปบริจาคตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งในช่วงสถานการณ์โควิด คูปองที่ติดไว้บนกระดานส่งต่อความสุขมีคนมาใช้กันเยอะกว่าช่วงปกติ
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราขายข้าวราดกะเพรา จานละ 20 บาท อย่างเดียวเราก็คงจะอยู่ไม่ได้ ทางร้านจึงได้จัดให้มีเมนูอื่นๆ สำหรับลูกค้าบางรายที่เขาไม่อยากกินเมนูกะเพรา หรือ ต้องการจะกินของแพงถูกปากมากขึ้น เราก็มีอาหารแบบอื่นๆ ให้ลูกค้าได้เลือก ในร้านของเรานอกจากกะเพราจานหลักแล้ว มีเมนูอื่นๆ ให้เลือก เป็นลักษณะของข้าวราดแกง ราคาเริ่มต้น 30 บาทไปจนถึง 89 บาท
“การขายกะเพราจานละ 20 บาท และใช้วัตถุดิบขนาดนี้ กำไรต่อจานละของเราต้องบอกว่าน้อยมาก จานหนึ่งได้กำไรประมาณ 3 บาท ซึ่งที่ผ่านมากำไรต่อหน่วยได้น้อย แต่เน้นขายจำนวนเยอะ ก่อนสถานการณ์โควิด เราเคยขายได้มากถึงวันละ 500 จาน มีรายได้ต่อวันกว่า 40,000 บาท แต่ถ้าเราขายกะเพราจานละ 20 บาท อย่างเดียว กำไรที่เหลือน้อยมาก บางวันเกือบติดลบ ทำให้เราต้องไปแสวงหาช่องทางอื่นๆ ในการทำกำไร แต่กะเพรายังคงเป็นเมนูยืนพื้น มีเสริมอาหารตามสั่ง เพื่อให้ร้านเลี้ยงตัวเองได้”
ผลกระทบโควิด ทำยอดหายกว่า 70%
สำหรับ ในช่วงสถานการณ์โควิด ร้านเราแทบไม่กำไร เกือบติดลบทุกวันหลังจากที่เปิดให้บริการหลังโควิดคลี่คลาย ลูกค้าหายไปกว่า 70% รายได้บางวันไม่ถึง 10,000 บาท ซึ่งเราก็หันไปทำออนไลน์ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ปัญหาของการทำออนไลน์ คือ ต้องตัดจ่ายค่าจีพีให้กับแอปพลิเคชั่นให้บริการสั่งและจัดส่งอาหาร โดยที่เราก็ยังคงขายราคาเดียวกับการขายหน้าร้าน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราได้กำไรลดลง เช่น กะเพราใส่กล่อง 30 บาท กะเพราไข่ต้ม 1ใบ 35 บาท ข้าวราดแกง 35 บาท อาหารตามสั่ง ราคาเริ่มต้น 49 บาท ถึง 89 บาท และที่เรายังสามารถขายราคากะเพรา 20 บาท โดยใช้น้ำมันมะพร้าวในการผัดได้ เพราะเราโรงงานน้ำมันมะพร้าวของเราเอง ซึ่งราคาน้ำมันมะพร้าวแพงกว่า น้ำมันปาล์มกว่าเท่าตัว
นายรุจน์ กล่าวว่า การทำร้านอาหารในครั้งนี้ ผมได้ตั้งงบไว้เลย 5ล้านบาท ซึ่งทำอย่างจริงจังมาก เพราะเปิดเป็นบริษัทรองรับ ในช่วงแรกที่เปิดตัวเมื่อ 2ปี ที่ผ่านมา ถ้าไม่เจอโควิดไปได้ด้วยดี ตั้งเป้าจะขยายสาขาเพิ่มอีกจำนวนมาก แต่พอเจอโควิดทุกอย่างต้องหยุดไปก่อน ตอนนี้ มี 2 สาขา ที่ พุทธมณฑล สาย2 และที่สามยอด ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ การบริหารงานยักษ์ใหญ่ใจดี ผมจะตั้งผู้จัดการขึ้นมาดูแลประจำร้าน รายได้ของทางร้านทั้งหมด ผมขอแค่ 20% ที่เหลือให้ผู้จัดการร้านเขาเป็นผู้บริหารจัดการ
เป้าหมายต้องการส่งต่อเรื่องดีดีให้กับผู้ประกอบการ
“การทำร้านอาหารครั้งนี้ เกิดจากความที่เราต้องการทำตรงนี้ให้ถูกต้อง ข้าวแต่ละจานจ่ายภาษีให้รัฐบาลแบบถูกต้อง และความตั้งใจของเรา คือ ต้องการให้แนวทางนี้ ได้เผยแพร่ไปในสังคม และต้องการให้นักธุรกิจรายอื่นๆ ที่เป็นรายใหญ่ หรือ สตรีทฟู้ด พ่อค้า แม่ค้าได้นำแนวทางนี้ แบบอย่างมาใช้ เพื่อคืนสุขภาพที่ดีต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นการล้างผักให้สะอาดด้วย เครื่องล้างโอโซน หรือ การไม่ใช้ผงปรุงรส และการใช้ข้าวปลอดภัยทุกอย่างสามารถทำได้และไม่ต้องลงทุนสูง ใครๆ ก็ทำได้”
“ผมไม่ได้หวังว่าเขาขาย 20 บาท เท่าผม แต่ไม่ว่าจะขายเท่าไหร่ สิ่งสำคัญ คือ ต้องทำอาหารที่สะอาดและปลอดภัย เสิร์ฟให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นผู้บริโภคคนไทยด้วยกัน และผมอยากจะทำให้ทุกคนเห็นว่า ศาสตร์พระราชา “ขาดทุนคือกำไร” นั้นทุกคนทำได้ และศาสตร์พระราชา ทำให้เราอยู่รอด และเอาตัวรอดได้ในช่วงที่มีสถานการณ์โควิดมากระทบ และโควิดเป็นบทพิสูจน์ว่า ระบบทุนนิยมที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบเวลานี้ กลับมาทำร้ายเรา ดูได้จากประเทศที่เจริญแล้ว และเขามีระบบทุนนิยม วันนี้ เขาจะต้องเจออะไรบ้าง ดังนั้น ศาสตร์พระราชาเศรษฐกิจพอเพียงนี้แหละทำให้เราอยู่รอดได้”
ติดต่อ FB: ยักษ์ใหญ่ใจดี - YakyaiJaidee
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
SMEs manager
https://www.facebook.com/SMEs.manager/?ref=bookmarks" target="_blank">* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
https://www.facebook.com/SMEs.manager" data-small-header="false" data-adapt-container-width="true" data-hide-cover="false" data-show-facepile="true" data-show-posts="false">
https://www.facebook.com/SMEs.manager">https://www.facebook.com/SMEs.manager">SMEs manager