นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และรองผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) กล่าวว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และโครงการบริหารจัดการนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ (IM) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดอบรมวิชาการ Master Class EP II ในเรื่อง Global Gateway for Cosmetic Industry ภายใต้โครงการเชื่อมโยงธุรกิจนวัตกรรมเครื่องสำอางสู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2563 ระยะที่ 1
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี เปิดการอบรมให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และนักวิจัยพี่เลี้ยงกว่า 50 คน เพื่อให้ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติสู่เชิงพาณิชย์ ก่อนที่จะคัดเลือกผู้ประกอบการ 3 ราย ร่วมงาน COSMETIC-360 ครั้งถัดไปที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อขยายตลาดต่างประเทศ สร้างภาพลักษณ์ด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไทย
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย Super Manager โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. กล่าวเสริมว่า สำหรับกิจกรรมการอบรมวิชาการในครั้งนี้ เป็น Master Class EP II ที่ให้ความรู้ในเรื่องพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง (พ.ร.บ.เครื่องสำอาง 2558) พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร (พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 2562) การประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง การจัดเตรียมข้อมูลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง การระคายเคือง และการทดสอบการแพ้ในอาสาสมัคร การจัดเตรียมข้อมูลสำหรับการขึ้นสารใหม่ที่ใช้ทางเครื่องสำอางผ่านระบบ “Personal Care Products Council”
ตลอดจนกิจกรรมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดเตรียมข้อมูลผลิตภัณฑ์และประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการร่วมกัน ภายหลังจากนี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะก้าวเข้าสู่งาน COSMECTIC 2564 ทั้งการสนับสนุนพาออกงาน แสดงผลงาน นิทรรศการ show case ตามงานต่างๆ รวมถึงจะมี Master Class EP III ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Pitching เพื่อคัดเลือกผู้ประกอบการ 3 รายที่โดดเด่นเข้าร่วมงาน COSMETIC 360 ปี 2021
ด้าน ผศ.ดร.วีรวัฒน์ ตีรณะชัยกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในวิทยากร กล่าวว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย หลายบริษัทเริ่มพัฒนาไปมาก โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีการทำตัวสารสกัดที่ใช้สมุนไพรค่อนข้างมาก และเริ่มมีการทำวิจัยที่ลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งในสมัยก่อนจะเป็นการนำสมุนไพรมาสกัดเพียงอย่างเดียวและควบคุมคุณภาพ แต่ปัจจุบันมีหน่วยงานของภาครัฐหลายที่ให้การสนับสนุน และผู้ประกอบการเองให้ความสนใจในการทำวิจัยมากขึ้น มีการศึกษาฤทธิ์ของตัวสารสกัด เช่น นาโนเทค สวทช. มีการศึกษาฤทธิ์ในหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น whitening, Anti-aging ต่างๆ หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยเองได้เริ่มทำวิจัยด้านเครื่องสำอางค่อนข้างมาก
ฉะนั้นอุตสาหกรรมไทยโดยเฉพาะเรื่องของสารสกัดจึงมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น ส่วนในเรื่องการผลิตประเทศไทยมีศักยภาพสูงอยู่แล้ว โดยปกติในระดับของอาเซียน ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับ 1 แต่หากเทียบในระดับภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากเกาหลีและญี่ปุ่น ฉะนั้นอุตสาหกรรมเรื่องของสารสกัดในตอนนี้จึงถือว่ามีแนวโน้มที่ดี เพราะประเทศไทยมีสมุนไพรจำนวนมากและยังมีสารสกัดอีกหลายตัวที่ยังไม่ได้ทำการศึกษา ซึ่งการจัดโครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการที่ดีที่จะทำให้ผู้ประกอบการได้ทราบว่า การทำวิจัยของตัวสารสกัดมีหลักเกณฑ์และหัวข้ออะไรบ้างที่ผู้ประกอบการต้องนำไปใช้ในการศึกษาเพื่อให้สารสกัดนั้นสามารถที่จะนำมาใช้ได้ในเครื่องสำอางได้ต่อไป
“สำหรับผู้ประกอบการที่จะได้รับการคัดเลือกจำนวน 3 รายที่มีความโดดเด่น มองว่า อันดับแรกเลย คือ ตัวสารสกัดจะต้องมี Marketing Story เพราะเป็นสิ่งแรกที่คนจะสนใจ ถัดไปคือการทดสอบในเรื่องความปลอดภัย สารที่ใช้จะต้องมีการทดสอบความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐานว่าต้องทดสอบหัวข้ออะไรบ้าง และสุดท้ายคือเรื่องการทำ Efficacy tests ซึ่งอาจเป็นการทำในหลอดทดลองหรือการทำในอาสาสมัคร ต้องอยู่ที่ว่าผู้ประกอบการสามารถที่จะดึงทั้ง 3 ส่วนขึ้นมานำเสนอให้กรรมการเห็นได้ไหมว่า สินค้าของตนเองเป็นสินค้าที่มีทั้งใบรับรอง certificate และมีการตลาดที่น่าสนใจ” ผศ.ดร.วีรวัฒน์ ตีรณะชัยกุล กล่าว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
SMEs manager