ด้วยรสชาติที่หวานละมุน มีกลิ่นที่หอมที่เป็นเอกลักษณ์ และมีเนื้อสัมผัสที่ฉ่ำนุ่ม จึงทำให้ “เมล่อน” ได้กลายมาเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่นิยมปลูกกันมาก อีกทั้งเมล่อนแต่ละผลก็มีราคาสูง โดยปัจจุบัน “เมล่อนญี่ปุ่น” มีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 95 -100 บาท และ “เมล่อนไทยไซส์ใหญ่” มีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 25 - 30 บาท ซึ่งสามารถสร้างกำไรอย่างมากให้กับเกษตรกรที่ปลูกได้
แต่ด้วยเมล่อนเป็นพืชต่างถิ่น ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกา เป็นพืชที่ชอบ อากาศอบอุ่นถึงร้อน อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการปลูกเมล่อนคือ 25 - 30 องศาเซลเซียส ในเวลากลางวัน และ 18 - 20 องศาเซลเซียส ในเวลากลางคืน โดยที่อุณหภูมิที่ต่างกันของกลางวันกับกลางคืนนี้ จะมีผลต่อความหวานและคุณภาพของเมล่อนเป็นอย่างมาก และยังเป็นพืชที่มีศัตรูพืชรบกวนค่อนข้างมาก จึงทำให้เมล่อนเป็นพืชอีกหนึ่งชนิดที่ปลูกค่อนข้างยากและต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้ผลผลิตที่สวยงามเป็นที่ต้องการของตลาด
ด้วยเหตุนี้ทำให้เกษตรกรที่ทำการเพาะปลูกเมล่อน และหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้อง ได้พยายามหาวิธีที่จะสามารถปลูกเมล่อนให้ได้ผลผลิตที่ได้มาตรฐานตามที่ตลาดต้องการ คุ้มกับการลุงทุน หนึ่งในวิธีที่ได้ผลก็คือการ “ปลูกเมล่อนแบบไฮโดรโปรนิกส์” หรือ “การปลูกแบบไม่ใช้ดิน” โดยเป็นวิธีการปลูกจากการทอดลองของ “ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 2” จังหวัดตรัง ที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มผลผลิตให้กับต้นเมล่อน จากผลผลิตได้ต้นละ 1 ผล กลายเป็นต้นละ 4 ผล
การปลูกเมล่อนแบบไฮโดรโปรนิกส์ ได้พัฒนาการตัดแต่งทรงต้นให้มี 3 แขนงและไว้ผล 4 ผล รวมทั้งการเพิ่มจำนวนใบต่อต้น จากวิธีการปลูกแบบทั่วไป ที่เก็บใบเลี้ยงไว้ 25 - 27 ใบต่อต้น เป็น 35 - 40 ใบต่อต้น ทำให้ได้ผลผลิตเมล่อนเพิ่มขึ้นเป็น 4 ผลต่อต้น และมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณผลละ 2 กิโลกรัม ซึ่งมีขนาดตรงตามมาตรฐานและความต้องการของตลาด อีกทั้งยังได้ปริมาณผลผลิตมากกว่าการปลูกแบบลงดิน ซึ่งจะได้ผลผลิตเพียงต้นละ 1 ผลเท่านั้น และยังไม่ต้องตัดแต่งทรงต้น
สำหรับในเรื่องการลงทุนนั้น การปลูกแบบไฮโดรโปรนิกส์ จะมีต้นทุนสูงมากเพียงในระยะแรก เนื่องจากต้องมีการลงทุนสร้างโรงเรือนและซื้ออุปกรณ์ถาวร แต่เป็นต้นทุนคงที่ แต่อุปกรณ์นั้นมีอายุการใช้งานยาวนาน และเมื่อปลูกแล้วได้ผลผลิตที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นและมีคุณภาพ ขายได้ราคาดี ก็จะทำให้เกษตรกรสามารถคืนทุนได้ในเวลาประมาณ 6 เดือน หรือ 2 รอบการผลิต ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรือน และสายพันธุ์เมล่อนที่ปลูก นอกจากนี้การปลูกแบบไร้ดินจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการจัดการดินที่เป็นวัสดุปลูกและแรงงานในการดำเนินการอีกด้วย ทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนในการผลิตลดลง
การปลูกเมล่อนแบบไฮโดรโปรนิกส์ จึงนับเป็นอีกวิธีที่น่าสนใจ ที่สามารถช่วยให้เกษตรกรได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น ขนาดตรงตามมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด และยังช่วยลดต้นทุนในด้านการรักษาดินและการจ้างแรงงาน เป็นการสร้างชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน
สนใจและขอคำแนะนำเพิ่มเติม
ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 2 จังหวัดตรัง โทร. 075 - 582312 - 13
** * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า"SMEsผู้จัดการ"รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุดและร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
SMEs manager