กระทรวงพาณิชย์เตรียมพัฒนางานหัตถศิลป์ไทย ผลักดันสู่ตลาดสากลหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ชูจุดเด่นเครื่องประดับเงินแท้ พร้อมทำการตลาดเชิงรุก ฝึกให้เจ้าหน้าที่บริการให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์งานหัตถศิลป์ผ่านทางโทรศัพท์
วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ในช่วงปลายปี 2562-ปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทวีความรุนแรงไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้การค้าทั้งภายในและต่างประเทศชะลอตัว รวมถึงตลาดงานศิลปหัตถกรรมก็ได้รับผลกระทบไปด้วย โดยการส่งออกผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทยในไตรมาสแรก มกราคม-มีนาคม 2563 มีมูลค่าการส่งออก 63,844.23 ล้านบาท ลดลงถึงร้อยละ 66.79 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการส่งออกรวม 192,257.09 ล้านบาท โดยประเทศคู่ค้าที่มีการบริโภคงานหัตถกรรมมากที่สุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา มียอดสั่งซื้อ 16,432.94 ล้านบาท โดยตลาดสหรัฐฯ นับเป็นตลาดงานหัตถศิลป์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
งานหัตถกรรมที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุดยังคงเป็นเครื่องประดับแท้ทำด้วยเงิน มีมูลค่าทั้งสิ้น 3,607.59 ล้านบาท เนื่องจากเครื่องประดับเงินของไทยมีความพิเศษและจุดเด่นที่รูปแบบและคุณภาพของเนื้อเงินจึงเป็นที่ต้องการของตลาด จากวิกฤตดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งหาแนวทางและมาตรการในทุกช่องทางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จึงได้กำชับให้ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT จัดทำแผนและดำเนินการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยงานศิลปหัตถกรรม โดยเฉพาะเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ไปยังเศรษฐกิจฐานราก ช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน
ขณะนี้ได้ดำเนินโครงการผลิตหน้ากากทางเลือกจากชาวบ้านและชุมชนหัตถกรรมทั่วประเทศ พร้อมจัดหาช่องทางการขายหน้ากากจากชุมชน และผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย ชูจุดขายเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในประเทศ ในรูปแบบของ E-Commerce ทั้งในสื่อโซเชียล เว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน SACICT Shop รวมถึงการทำการตลาดเชิงรุก โดยฝึกฝนให้เจ้าหน้าที่ในองค์กรให้บริการในรูปแบบ Tele Marketing ซึ่งเป็นบริการให้คำแนะนำและข้อมูลผลิตภัณฑ์งานหัตถศิลป์ทางโทรศัพท์ได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็วมากขึ้น
นอกจากนี้ยังวางแผนการรองรับภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น โดยเตรียมพร้อมผู้ประกอบการหัตถศิลป์พัฒนาฝีมือและพัฒนาผลิตภัณฑ์งานหัตถศิลป์ที่ตลาดต้องการ เช่น เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน โลหะมีค่า เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องหนังและอัญมณี เป็นต้น โดยในช่วงที่มีการประกาศพระราชกำหนดฉุกเฉินทำให้ประชาชนต้องอยู่ในที่พักอาศัย เอื้อให้สามารถใช้เวลามาทำงานศิลปหัตถกรรมที่บ้านเพื่อเพิ่มพูนรายได้ จึงถือเป็นโอกาสดีที่สามารถผลิตสต๊อกสินค้าเพื่อรองรับตลาดเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น
** * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า"SMEsผู้จัดการ"รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุดและร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
SMEs manager