กรมพัฒน์ฯ จับมือ ธ.ก.ส.ลงพื้นที่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เดินหน้าขับเคลื่อนการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ เน้นส่งเสริมให้เกษตรกรและประชาชนปลูกไม้ยืนต้นเพื่อการออมและเป็นมรดกแก่ลูกหลาน พร้อมให้ข้อเสนอแนะการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชน/ขยายช่องทางการตลาด ต่อยอดสร้างรายได้ให้ครอบครัว ดีเดย์...มอบวงเงินจดทะเบียนไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจรายแรกของ จ.สุพรรณบุรี
นางโสรดา เลิศอาภาจิตร์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์) ได้มอบหมายให้เป็นผู้แทนกรมฯ ลงพื้นที่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พบปะตัวแทนเกษตรกรและผู้นำชุมชนเพื่อขับเคลื่อนให้มีการนำไม้ยืนต้นที่ปลูกในพื้นที่มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ และส่งเสริมให้ปลูกไม้ยืนต้นเพื่อการออมเป็นมรดกแก่ลูกหลานในอนาคต นอกจากนี้ ได้ให้ข้อเสนอแนะการเพิ่มมูลค่าแก่ผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และขยายช่องทางการตลาดให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย”
“การลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้เดินทางไปที่ศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ บ้านดอนศาลเจ้า โดยได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับตัวแทนเกษตรกรและผู้นำชุมชนเกี่ยวกับการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ กระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เกษตรกรรมให้คุ้มค่ามากที่สุด รวมทั้งส่งเสริมให้ปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ของเกษตรกรเพื่อเป็นมรดกแก่ลูกหลาน เช่น มะขาม สะเดา ตะโก หรือไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าประเภทอื่นๆ ซึ่งเกษตรกรในพื้นที่ได้เริ่มปลูกไม้ยืนต้นที่มีค่าในพื้นที่ของตนเองบ้างแล้ว และเข้าใจถึงรายละเอียดการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจดีขึ้นผ่านการประชาสัมพันธ์ทั้งของกรมฯ และ ธ.ก.ส.
โอกาสนี้ กรมฯ ได้ให้คำแนะนำการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าแก่ผลิตภัณฑ์ชุมชนในท้องถิ่น เน้นให้ปลูกพืชปลอดสารพิษซึ่งกำลังเป็นที่นิยมและเป็นที่ต้องการของตลาด สามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูงขึ้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูปให้มีความทันสมัยตรงความต้องการของตลาด พร้อมบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่มีความสวยงาม รวมถึงการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ กรมฯ พร้อมส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยพัฒนาสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าและอบรมการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยหลังจากที่ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้ว กรมฯ จะนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ผู้แทนจำหน่าย ซัปพลายเออร์ มาคัดสรรเพื่อขึ้นจำหน่ายบนสนามบิน ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ฯลฯ เป็นการขยายช่องทางการตลาดให้มีความหลากหลาย เพิ่มรายได้ให้แก่คนในท้องถิ่นมากขึ้น”
รองอธิบดีฯ กล่าวต่อว่า “หลังจากนั้นเดินทางไปบ้านนางสาวปราณี น้ำใจดี เกษตรกร อ.สองพี่น้อง เพื่อมอบวงเงินจากการนำไม้ยืนต้นที่มีค่าที่ปลูกในบริเวณบ้านจำนวน 44 ต้น ได้แก่ มะขาม (9 ต้น) มะกอกป่า (1 ต้น) สะเดา (14 ต้น) ตะโก (1 ต้น) โมกมัน (1 ต้น) งิ้วป่า (1 ต้น) กระท้อน (1 ต้น) มะเกลือ (2 ต้น) ยอป่า (1 ต้น) มะม่วง (1 ต้น) และไม้แดง (12 ต้น) มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจกับ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นเกษตรกรรายแรกใน จ.สุพรรณบุรี ที่ได้รับวงเงินจากการนำไม้ยืนต้นที่มีค่ามาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ นับเป็นนิมิตหมายที่ดีที่สถาบันการเงินให้ความสำคัญต่อการใช้ไม้ยืนต้นที่มีค่ามาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ และเกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น”
“กรมฯ และหน่วยงานพันธมิตรพร้อมเดินหน้าสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน เกษตรกร ภาคธุรกิจ สถาบันการเงิน ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และพร้อมลงพื้นที่จังหวัดต่างๆ เพื่อส่งเสริม/ขับเคลื่อนให้มีการปลูกไม้ยืนต้นที่มีค่าเพื่อการออมเป็นมรดกแก่ลูกหลานในอนาคต สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมการปลูกป่าของประเทศอีกด้วย ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0-2547-5048 e-Mail : Stro@dbd.go.th หรือสายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th” รองอธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 9 มีนาคม 2563) มีผู้ขอนำไม้ยืนต้นที่มีค่ามาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้วจำนวนทั้งสิ้น 56 คำขอ คิดเป็นร้อยละ 0.002 ของการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจทั้งหมด มูลค่ารวม 130,385,000 บาท
สถิติการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ (4 กรกฎาคม 2559-9 มีนาคม 2563) มีผู้มาขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้วจำนวน 500,098 คำขอ จำนวนเงินสูงสุดที่ใช้ทรัพย์สินเป็นหลักประกัน รวมทั้งสิ้น 7,840,107 ล้านบาท โดยสิทธิเรียกร้องยังคงเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 77.20 (มูลค่า 6,052,907 ล้านบาท) รองลงมา สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ได้แก่ สินค้าคงคลัง วัตถุดิบ เครื่องจักร รถยนต์ เรือ เครื่องบิน สัตว์พาหนะ คิดเป็นร้อยละ 22.76 (มูลค่า 1,784,051 ล้านบาท) ทรัพย์สินทางปัญญา คิดเป็นร้อยละ 0.03 (มูลค่า 1,985 ล้านบาท) กิจการ คิดเป็นร้อยละ 0.01 (มูลค่า 637 ล้านบาท) และอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 0.005 (มูลค่า 397 ล้านบาท)
** * คลิก Likeเพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า“SMEs ผู้จัดการ”รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุดและร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!* * *
SMEsmanager