“ธุรกิจฟินเทค” โตวันโตคืนในเกือบทุกพื้นที่ทั่วโลก และหนึ่งในภูมิภาคที่ต้องจับตาอย่าให้พลาดคือเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแดนมังกรเจ้าเก่าที่เมื่อไม่กี่วันมานี้ แอนต์ ไฟแนนเชียล ในเครือยักษ์ใหญ่อาลีบาบา เพิ่งเสร็จสิ้นการระดมทุนรอบล่าสุดและก้าวขึ้นเป็นบริษัทฟินเทคใหญ่สุดของโลกเรียบร้อยโรงเรียนจีน
ก่อนหน้านี้ ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน เคยคาดหมายว่าอานิสงส์จากการสนับสนุนของภาครัฐจะส่งให้มูลค่าตลาดฟินเทคหรือเทคโนโลยีด้านการเงินในเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าถึง 72,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2020 ถือเป็นการขยายตัวอย่างรวดเร็วมากภายในระยะเวลาสั้นๆ
รัฐบาลในภูมิภาคนี้สนับสนุนฟินเทคอย่างชัดเจน สังคมไร้เงินสดเป็นเป้าหมายสำคัญอันดับต้นๆ ของประเทศส่วนใหญ่ เช่น สิงคโปร์ที่หวังว่าภายในไม่กี่ปีนี้การชำระเงินผ่านมือถือจะมาแทนที่การใช้เงินสดโดยสิ้นเชิง นวัตกรรมในภาคการเงินวันนี้มีหลากหลายรูปแบบมาก ไม่ว่าจะเป็นการชอปปิ้ง การจ่ายเงิน การธนาคาร หรือการซื้อประกันภัย และเทคโนโลยีทางการเงินเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและการโต้ตอบของผู้บริโภคชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนั้นยังมีผลการศึกษาอีกชิ้นจากบริษัทบัญชี EY ที่ตรวจสอบอัตราการยอมรับฟินเทคใน 20 ประเทศใหญ่ทั่วโลก พบว่า ผู้บริโภคจีน 69% ใช้บริการฟินเทคอย่างน้อย 2 ประเภทในรอบ 6 เดือนล่าสุด อันดับสองคืออินเดีย 52% ตามด้วยสหราชอาณาจักร 42%
การจ่ายและโอนเงินทางมือถือ เป็นบริการฟินเทคที่คนจีนใช้บ่อยที่สุด คือ 83% ขณะที่ 58% บอกว่าใช้แพลตฟอร์มฟินเทคเพื่อการออมและการลงทุน และ 46% ใช้กู้ยืมเงิน
ดูเหมือนไม่ว่าวงการไหนถ้าขาดจีนไปคงกร่อยสนิท ฟินเทคก็เช่นกัน การประชุม Money 20/20 ที่จัดที่อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ถึงกับบรรจุประเด็นว่าด้วยบทบาทนำของจีนในอุตสาหกรรมฟินเทคโดยเฉพาะ
หลี่ หวัง ผู้รับผิดชอบธุรกิจของอาลีเพย์ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ให้สัมภาษณ์ข้างเวทีว่า อาลีบาบา และแอนต์ ไฟแนนเชียล เป็นผู้เล่นสำคัญระดับโลกในด้านอี-คอมเมิร์ซ และฟินเทคตามลำดับ และมีการเติบโตปีละกว่า 50%
สำหรับ อาลีเพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาลีบาบานั้น มีผู้ใช้ที่ยังคงใช้งานถึง 870 ล้านคน ในจำนวนนี้อยู่ในจีน 600 ล้านคน และตัวเลขเหล่านี้เป็นหลักฐานอย่างดีว่าผู้บริโภคจีนกำลังแซงหน้าประเทศอื่นๆ ในแง่การตอบรับฟินเทค
นอกจากนั้น เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (8) แอนต์ ไฟแนนเชียล ในเครืออาลีบาบาเช่นเดียวกัน ยังปักหมุดยึดหัวหาดแน่นหนาอีกชั้นด้วยการเปิดเผยว่า เพิ่งเสร็จสิ้นการระดมทุนรอบล่าสุดได้เงินมาทั้งสิ้น 14,000 ล้านดอลลาร์ และก้าวขึ้นเป็นบริษัทฟินเทคใหญ่ที่สุดในโลก
แอนต์แถลงว่า จะนำเม็ดเงินที่ได้ไปลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และเร่งรัดการขยายตัวของอาลีเพย์ในต่างประเทศและในภาคส่วนใหม่ๆ
อาลีเพย์และวีแชตของเทนเซ็นต์ คือผู้นำในตลาดการชำระเงินออนไลน์ที่กวาดรายได้และกำไรมหาศาลจากสถานการณ์ที่ผู้บริโภคจีนนิยมสั่งซื้อสินค้าและบริการผ่านแอปบนมือถือหรืออินเทอร์เน็ตกันมากขึ้น ทั้งสองบริษัทยังแย่งชิงความเป็นใหญ่ในตลาดการทำธุรกรรมดิจิตอลและบริการการเงินอื่นๆ ทั่วโลก
นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่า แอนต์ ไฟแนนเชียล กำลังวางแผนขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก คาดว่าจะเป็นหนึ่งในการทำไอพีโอใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงเล่าลือว่าแอนต์อาจเลือกจดทะเบียนใน 1 ใน 2 ตลาดหุ้นจีน แทนที่จะเป็นวอลล์สตรีท หรือฮ่องกงแบบไป่ตู้ และเทนเซ็นต์ ก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งอาจเพื่อตอบสนองการรณรงค์ของรัฐบาลที่ต้องการให้บริษัทเทคโนโลยีรุ่นใหม่จดทะเบียนในตลาดท้องถิ่นขณะที่จีนกำลังท้าทายเพื่อแย่งชิงสถานะผู้นำในภาคไฮเทคจากอเมริกา
แอนต์บอกว่า เม็ดเงินที่ระดมล่าสุดมาจากนักลงทุนในประเทศที่ไม่ประสงค์ออกนาม รวมถึงนิติบุคคลจากต่างแดน อาทิ กองทุนความมั่งคั่งของสิงคโปร์อย่างจีไอซี และเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์, คณะกรรมการการลงทุนแผนการบำนาญแคนาดา และบริษัทไพรเวตอิควิตีระดับโลก วอร์เบิร์ก พินคัส