“กมลวรรณ วิปุลากร” มือทองธุรกิจโรงแรม เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” สร้างศักราชใหม่ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนเครือ “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” กางมาสเตอร์แพลน 5 ปี ลงทุน 2 หมื่นล้าน ลุย 3 กลุ่มธุรกิจ Accommodation-Office & Retail-Foods เกาะแนวกรุงเทพฯ-อีอีซี-เมืองท่องเที่ยว คาดสร้าง Market Value กว่า 30,000 ล้าน เล็งระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงจังหวะการลงทุนของออริจิ้นว่า ในช่วงเฟสแรกของการยกระดับธุรกิจของออริจิ้น เราประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ และมีการขยายตลาดไปสู่โครงการแนวราบ ขณะเดียวกัน ได้ขยับการลงทุนสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ในอนาคตอย่างมั่นคง ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มในภาวะเศรษฐกิจที่มีปัญหา
นางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวนโยบายของ “วัน ออริจิ้น” ว่า จะเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน ทั้งหมดให้แก่เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และจะเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญ ต่อการสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวให้แก่ภาพรวมของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในช่วง 5 ปีจากนี้ (พ.ศ. 2561-2565) บริษัทจะเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน ด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทแบ่งประเภทธุรกิจที่จะลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่ม Accommodation เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ซึ่งจะให้น้ำหนักกับกลุ่มนี้มากถึง 70% 2. กลุ่มสำนักงานให้เช่า และค้าปลีก สัดส่วนลงทุน 20% และ 3. กลุ่มธุรกิจอาหาร สัดส่วน 10%
“เราตั้งเป้าว่า ทรัพย์สินจากการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้าง Market Value ให้กับเราประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน จะช่วยสร้างยอดขายสะสมในช่วงแผน 5 ปีนี้ ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะทำให้เราขึ้นแท่นเป็น ท็อป 5 ในวงการธุรกิจโรงแรม และมิกซ์ยูส”
สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้ขยายธุรกิจในช่วง 3-5 ปีแรก จะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1. เงินทุนจากบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) 2. เงินทุนจากการร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลก เช่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีการสร้างความร่วมมือระหว่างกันแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) ซึ่งเคยประกาศไปแล้ว ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยโรงแรมแห่งแรกจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2562 และทยอยแล้วเสร็จในปีถัดๆไป ทั้งนี้ มูลค่าโรงแรมจะประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ วัน ออริจิ้น มีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการระดมทุนเพิ่มเติม อันจะเป็นผลดีต่อการขยายธุรกิจในระยะยาวด้วย
“การมีพันธมิตร จะหนุนในหลายด้าน หนึ่งในนั้น คือ เรื่องของต้นทุนทางการเงิน และการมีพรีเมียมกลับมาจากโครงการร่วมทุน อย่างเช่น หากไม่ใช่โครงการร่วมทุน จะเป็นการก่อหนี้ 65% และเป็นเงินทุน 35% แต่หากมีเรื่องของความร่วมทุนทางธุรกิจกับพันธมิตรแล้ว เงินทุนจะไม่ใช่ 35% เพราะจะมีส่วนของผู้ร่วมทุนเข้ามาประมาณ 17% และเป็นของออริจิ้น 18% ทั้งนี้ ผลในเรื่องหนี้สินต่อทุนนั้น ตามตัวเลขในปีนี้ และปี 62 จะไม่สูง ส่วนปี 64 ตัวเลข D/E จะอยู่ที่ 1.55 เท่า แต่ไม่ใช่ตัวเลขที่สูง ทั้งนี้ หากพิจารณาประเภทธุรกิจต่างๆ ภายใต้ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะทำให้เราเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทั้งการทำงาน การพักผ่อนของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว”
ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการของวัน ออริจิ้น จะเน้นเกาะทำเลกรุงเทพฯ และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเป็น 2 ทำเลศักยภาพที่ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ให้ความสำคัญอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความต้องการของผู้บริโภคที่มีศักยภาพในหลายเซกเมนต์ ขณะเดียวกัน ยังวางแผนเข้าไปลงทุนในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ อีกด้วย รูปแบบการพัฒนาเปิดกว้างทั้งการพัฒนาในลักษณะมิกซ์ยูส และการพัฒนาโครงการแต่ละประเภทแบบสแตนด์อโลน ขึ้นอยู่กับศักยภาพของทำเล และที่ดินแต่ละแปลง
“กลยุทธ์การเติบโตจะมีทั้งการจ้างเชนระดับโลกเข้ามาบริหาร การสร้างแบรนด์ของตัวเอง ตลอดจนการเข้าซื้อกิจการ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ และความต้องการของฐานลูกค้า กลยุทธ์ทั้งหมดจะเป็นส่วนสำคัญช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง และทำให้วัน ออริจิ้น สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว”
เบื้องต้น คาดการณ์ว่าภายใน 5 ปี จะมีการพัฒนาโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ทั้งหมด 15 แห่ง ทั้งในกลุ่มลูกค้า Corporate และ leisure รวมจำนวนห้องพักกว่า 4,000 ห้อง ส่วนของอาคารสำนักงาน และร้านค้า อีก 10 แห่ง รวมพื้นที่ไม่น้อยกว่า 50,000 ตร.ม.
ที่ผ่านมา บริษัทได้เซ็นสัญญา และนำแบรนด์ของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (ไอเอชจี) เข้ามาบริหารโรงแรม 3 แห่ง ได้แก่ 1. สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ 2. สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา และ 3. ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง โดยจะทยอยเปิดให้บริการจนครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 2564 โดยการนำแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท เข้ามานั้น ถือเป็นการนำแบรนด์ดังกล่าวเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก
ทั้งนี้ การใช้แบรนด์ระดับโลกจากต่างชาติจะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ เนื่องจากแบรนด์เป็นที่รู้จัก และยอมรับอยู่แล้วในระดับโลก.