เครื่องล้างรถอัตโนมัติ ควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ คุณสมบัติล้างสะอาดหมดจด รวดเร็ว ไม่ก่อความเสียหายแก่ตัวรถ นี่เป็นคุณสมบัติของ‘J WASH’ นวัตกรรมจากญี่ปุ่น ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจไทยเห็นโอกาสนำมาสร้างตลาด รูปแบบขายแฟรนไชส์ รับรองการเติบโตของตลาดรถในเมืองไทยที่เชื่อว่ายังขยายต่อเนื่อง
กิตติ จึงสวนันทน์ ซีอีโอ เครือ "ทีเอ็น กรุ๊ป" เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับผลิตและนำเข้าอุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆ เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องปั๊มน้ำ ฯลฯ มากว่า 40 ปี หนึ่งในนั้น คือ ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องล้างรถอัตโนมัติให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ประเทศญี่ปุ่น จนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้ร่วมทุนกับทีมวิศวกรญี่ปุ่น ผู้คิดค้นเครื่องล้างรถอัตโนมัติ แบรนด์ ‘J WASH’ นำเข้าเทคโนโลยีส่วนสมองกล แล้วมาผลิตเครื่องล้างรถอัตโนมัติในเมืองไทย ส่งขายแก่ค่ายรถต่างๆ เพื่อใช้ล้างรถให้แก่ลูกค้าที่นำรถมาเข้าศูนย์บริการ นับถึงปัจจุบัน ผลิตส่งไปแล้วกว่า 20 เครื่อง
และล่าสุดต่อยอดธุรกิจ ‘J WASH’ ขยายตลาดในรูปแบบขายแฟรนไชส์ เพื่อมุ่งให้บริการแก่ลูกค้าผู้ใช้รถทั่วไปโดยตรง เนื่องจากเห็นโอกาสที่ตลาดรถในเมืองไทย มีอัตราเติบโตต่อเนื่องทุกปี ทำให้การใช้บริการล้างรถสูงตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน ข้อมูลที่สำคัญคือ งานบริการล้างรถที่ใช้แรงงานคน นับวันต้นทุนจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะค่าจ้างคนงานปรับเพิ่ม รวมถึงแรงงานต่างด้าวทยอยกลับบ้านเกิด ต่อไปแรงงานจะหายากขึ้น ส่งให้ราคาค่าบริการล้างที่ได้มาตรฐานต้องสูงตาม ดังนั้น การนำเครื่องล้างอัตโนมัติมาทำงานทดแทนคน จึงมาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยวางตำแหน่งทางการตลาด จะเป็นบริการล้างรถคุณภาพสูง ในระดับราคาปานกลาง สำหรับคนเมืองที่มีเวลาน้อย และชอบความสะดวกรวดเร็ว
เจ้าของธุรกิจ เผยต่อว่า เครื่องล้างรถอัตโนมัติ ‘J WASH’ ถือเป็นนวัตกรรมที่ทันสมัยและดีสุดในปัจจุบัน มีคุณสมบัติเด่นคือ ควบคุมการทำงานทุกอย่างด้วยคอมพิวเตอร์ ผ่านหน้าจอทัชสกรีน รถที่เข้าล้าง จะถูกสแกนด้วยเซ็นเซอร์ 72 จุด จากนั้น จะมี “แปรง” ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามรูปทรงของตัวรถ ลงมาทำหน้าที่ล้างขัดซอกมุมต่างๆ ทำให้ล้างได้สะอาดทั่วคัน โดยวัสดุของแปรงนั้น ออกแบบให้ยืดหยุ่นไม่ทำให้รถเสียหายเป็นรอย จากนั้นจะเป่าแห้งด้วยพลังลมแรงสูง ทั้งหมดต่อรถหนึ่งคัน ถ้าล้างโดยแชมพู ใช้เวลาเพียง 4 นาที ถ้าล้างด้วยแชมพู+WAX ใช้เวลา 7 นาที เทียบกับล้างด้วยแรงงานคนแล้ว ถือว่าเร็วกว่ากันมาก
ด้านต้นทุนการล้างด้วยเครื่องอัตโนมัติ ถ้าล้างโดยแชมพู บวกค่าน้ำ และค่าไฟฟ้าแล้ว เพียง 5 บาทต่อคันเท่านั้น ส่วนล้างโดยแชมพู+WAX บวกค่าน้ำ และค่าไฟฟ้าแล้ว อยู่ที่ 25 บาทต่อคัน ซึ่งถือว่าประหยัดกว่าใช้แรงงานคนมาก ดังนั้น เมื่อต้นทุนต่ำ จึงสามารถคิดค่าบริการแก่ลูกค้าที่มาล้างรถได้ในราคาเหมาะสม รวมถึง เหลือช่องว่างระหว่างต้นทุนกับกำไรที่กว้าง ช่วยเปิดโอกาสไปจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่างๆ ได้หลากหลาย
นอกจากนั้น ตัวเครื่องยังสามารถเก็บบันทึกข้อมูลลูกค้าแต่ละรายที่เข้ามาใช้บริการได้ด้วย ไม่ว่าจะช่วงเวลาเข้าใช้บริการ ประเภทรถ ยอดค่าใช้จ่าย ฯลฯ เกิดประโยชน์นำไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนการทำตลาดได้ด้วย
“ที่ประเทศญี่ปุ่นจะใช้เครื่องล้างรถอัตโนมัติอย่างแพร่หลาย แค่หยอดเหรียญเข้าล้างโดยไม่ต้องมีพนักงานเลย แต่ในเมืองไทย เรามาปรับให้มีพนักงาน 2 คน ช่วยอำนวยความสะดวก ซึ่งก่อนหน้านี้ ในไทย เคยมีการนำเข้าเครื่องล้างรถมาบ้างแล้ว แต่เป็นเทคโนโลยีเก่าที่แปรงขัดจะอยู่กับที่ ทำให้ล้างไม่สะอาด และบริษัทที่นำเข้า ไม่มีโรงงานผลิตเอง ทำให้เมื่อเครื่องเกิดขัดข้อง จะมีปัญหาในการซ่อมบำรุง ส่วนเรามีโรงงานผลิตเอง ทำให้มีศักยภาพดูแลเครื่องได้อย่างใกล้ชิด” กิตติ ระบุ
ด้านชวลิต เปรมธรรมพร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ที่มีหน้าที่ดูแลโครงการแฟรนไชส์ ‘J WASH’ โดยตรง ให้ข้อมูลเสริมว่า ขณะนี้เช่าพื้นที่ในปั๊มน้ำมัน “เชลล์” ถนนสาทรใต้ (ปากซอยสวนพลู) เป็นร้านต้นแบบ เปิดเมื่อกลางเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมา โดยมีบริการทั้งส่วนล้างรถโดยเครื่องอัตโนมัติ กับทำความสะอาดภายใน คิดค่าบริการเริ่มต้นที่ 150 บาท ถึงสูงสุด 4,500 บาท (ตามบริการ) ซึ่งจากการทดสอบตลาดเบื้องต้น มีอัตราผู้เข้าในบริการเฉลี่ย 35 คันต่อวัน
สำหรับการลงทุนแฟรนไชส์ ประมาณ 2 ล้านบาท (ขึ้นลงตามรายละเอียด) โดยจะได้รับเครื่องล้างรถอัตโนมัติ ตัวอาคาร และอุปกรณ์ล้างครบชุด และการส่งเสริมจากส่วนกลาง เช่น รับประกันและซ่อมบำรุงเครื่อง อบรมพนักงาน และการทำตลาด เป็นต้น
ทั้งนี้ รายได้ของแฟรนไชส์ซี จะมาจากค่าบริการต่างๆ เช่น ล้างภายนอก ล้างภายใน ซักพรม ขัดสี เคลือบกระจก ฯลฯ โดยให้สิทธิ์ตั้งราคาค่าบริการเองตามความเหมาะสมของทำเลและกลุ่มลูกค้า เริ่มต้นที่ 100 บาทถึงหลักพันบาท จากการคำนวณรายได้และหักค่าใช้จ่ายแล้ว หากมีอัตรารถเข้าใช้บริการ 30-40 คันต่อวัน จะคืนทุนได้ในเวลา 1.5-2 ปี
ส่วนทำเลที่จะเปิด ‘J WASH’ นั้น บริษัททำข้อตกลงกับบริษัทปั๊มน้ำมันต่างๆ เช่น เชลล์ บางจาก และคาลเท็กซ์ เพื่อเป็นพื้นที่ทางเลือกแก่ผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์ หรือจะเสนอพื้นที่เองก็ได้ เช่น stand alone ย่านหมู่บ้านจัดสรร ข้อกำหนดต้องมีเนื้อที่ประกอบกิจการไม่น้อยกว่า 180 ตรม.และสภาพแวดล้อมเหมาะต่อการดำเนินธุรกิจนี้
ด้านกิตติ เสริมว่า ผู้สนใจจะลงทุนแฟรนไชส์ ‘J WASH’ ควรมีสภาพคล่องทางการเงินค่อนข้างดี เพราะธุรกิจล้างรถ ในรอบหนึ่งปีจะมีช่วงเวลาลูกค้ามากน้อยแตกต่างกันไปตามฤดูกาล เช่น หน้าฝน ลูกค้าน้อย หลังสงกรานต์จะแห่ใช้พร้อมๆ กัน เป็นต้น ดังนั้น ต้องมีทุนสำรองเฉลี่ยหมุนเวียนค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี
ส่วนแผนธุรกิจ เตรียมขยายสาขาด้วยตัวเองอีก 3-4 จุดภายในไตรมาสแรกของปีหน้า (2560) ควบคู่กับการปล่อยแฟรนไชส์ ตั้งเป้าที่ประมาณ 20 สาขา รวมถึง นำเข้าน้ำยาล้างต่างๆ ของ ‘J WASH’ จากประเทศญี่ปุ่นมา วางขายที่สาขาต่างๆ เพื่อเป็นอีกช่องทางในการสร้างรายได้ให้แก่แฟรนไชส์ซี
“ความน่าสนใจของธุรกิจนี้ ผมมองว่า จะมาแก้โจทย์เรื่องปัญหาต้นทุนแรงงานคนที่นับวันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และผมเชื่อว่า ธุรกิจคาร์แคร์สามารถขยายตลาดได้อีกหลากหลาย เช่น เปิดใต้คอนโดมีเนียม จูงใจลูกค้าที่จะซื้อห้อง เป็นต้น ซึ่งความท้าทายของธุรกิจ อยู่ที่ต้องสร้างความไว้วางใจในการใช้เครื่องล้างรถอัตโนมัติแก่คนไทย ซึ่งผมเชื่อว่า หากได้ทดลองใช้งานสักครั้ง จะพึงพอใจ และด้วยค่าบริการที่ไม่สูง สะดวกรวดเร็ว จะทำให้กลับมาใช้บริการซ้ำต่อเนื่อง” เจ้าของธุรกิจ กล่าว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *