กระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ภาคตะวันออกเดินหน้ายุทธศาสตร์ “พลิกธุรกิจสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ SME 4.0” โดยเตรียมจัดงานมหกรรมวันนัดพบผู้ประกอบการทั่วประเทศ ตั้งเป้าในปี 2560 ผู้ประกอบเข้าถึงกิจกรรมและบริการของรัฐไม่ต่ำกว่า 6,000 รายทั่วประเทศ ชี้มุ่งเป้ากลุ่มอุตสาหกรรมภูมิภาคที่สำคัญ 5 กลุ่ม ยางพารา ผลไม้ อาหารและเกษตรแปรรูป ชิ้นส่วนยานยนต์อัจฉริยะ สมุนไพร เครื่องสำอาง
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมดำเนินการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง "พลิกธุรกิจสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ SME 4.0" พร้อมจัดมหกรรมวันนัดพบผู้ประกอบการ ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเป็นกิจกรรมที่นำหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการส่งเสริม SMEs เข้าร่วมเผยแผนการจัดการธุรกิจ การเผยแพร่โครงการ และการให้บริการในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการทั้ง SMEs และ OTOP เพื่อเป็นการสร้างความรู้และพัฒนาขีดความสามารถให้ผู้ดำเนินธุรกิจมีความพร้อมเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของบริบทประเทศ ซึ่งจะก่อให้เกิดการเชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรมและมุ่งไปสู่การพัฒนาในทุกระดับทั่วภูมิภาคอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ตั้งเป้าให้ SMEs สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ จากภาครัฐในปี 2560 ไม่ต่ำกว่า 6,000 ราย พร้อมมุ่งหวังให้สามารถใช้ประโยชน์จากบริการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถปิดจุดอ่อนในการดำเนินธุรกิจได้ต่อไป โดยจุดแข็งที่มีอยู่คือ การมีวัตถุดิบที่หลากหลายและมีคุณภาพ การมีแรงงานฝีมือ การมีภาคเกษตรและภาคบริการที่เอื้อต่อการต่อยอดการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน การมีทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยที่สามารถนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ
“จุดแข็งดังกล่าวสามารถนำมาสร้างความได้เปรียบต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างหลากหลาย เช่น การเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม การเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฯลฯ โดยจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม การวิจัย และความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพทุกภาคส่วนให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน” ดร.อรรชกากล่าวปิดท้าย
ด้าน ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวถึงการลงพื้นที่ในภาคตะวันออกครั้งนี้ ว่า เนื่องจากภาคตะวันออกเป็นแหล่งอุตสาหกรรมระดับภูมิภาคที่สำคัญ มีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกว่า 226,000 ราย (ข้อมูลจาก สสว.) และเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาที่หลากหลาย ทั้งโครงการเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ การมีโครงข่ายการคมนาคมขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ มีสภาพภูมิประเทศที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว และมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง รวมถึงเป็นแหล่งผลิตอาหารและการเกษตรที่สำคัญ โดยเฉพาะการเพาะปลูกผลไม้และยางพาราที่สามารถรองรับการบริโภค แปรรูป และส่งออก
โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมสำคัญใน 5 กลุ่ม SMEs ภาคตะวันออก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์จากยางพาราและยางพาราดิบ กลุ่มผลไม้ กลุ่มสินค้าอาหารและเกษตรแปรรูป กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์อัจฉริยะ และกลุ่มสมุนไพรและเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการการยกระดับในด้านประสิทธิภาพและการบริหารจัดการให้เกิดขึ้นอย่างทั่วถึงในภูมิภาค
สำหรับปัญหาที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไข เช่น การขาดแคลนแรงงานฝีมือ ปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำ ปัญหาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม การเกิดภัยธรรมชาติ ปัญหามลพิษ และปัญหาด้านการพัฒนานวัตกรรม เป็นต้น ทั้งนี้ จำเป็นต้องสร้างนวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การให้ความสำคัญต่อการผลิตตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ การเพิ่มผลิตภาพการผลิตตามกระแสการบริโภคที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานสากล อีกทั้งยังต้องให้ความสำคัญต่อคุณค่าของผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปผลไม้ รวมทั้งวัตถุดิบจากการประมงเพื่อการส่งออก การแปรรูปยางพาราเพื่อเป็นวัสดุทดแทน ฯลฯ ซึ่งมีความเชื่อมั่นว่าหลังจาก SMEs ในภูมิภาคเกิดการปรับตัวและพัฒนาศักยภาพผ่านโครงการต่างๆ ของภาครัฐแล้ว จะช่วยสร้างและกระจายความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในระดับมหภาคได้ในอนาคต
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 จ.ชลบุรี กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0-3878-4064-7 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *