แม้สถานที่ให้บริการนวดรักษาและเรียนรู้ศาสตร์การนวดแผนไทยของ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนอาภานวดแผนไทย” จะอยู่ที่ ต.บางเจ้าฉ่า อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง แต่ระยะทางไม่ใช่อุปสรรค เพราะคนจากทั่วสารทิศของประเทศไทยต่างยินดีเดินทางมาเพื่อขอรับคำปรึกษาและรักษาอาการเจ็บปวดเมื่อยล้าตามร่างกาย จากฝีมือนวด จับ ดัด ทุบของ “ป้าปุ้ม” หรือ “อาภา ปรีชากูลย์” วัย 68 ปี ผู้มีภูมิปัญญาการนวดแผนไทยอย่างลึกซึ้งระดับประเทศ จนได้รับการบอกต่ออย่างกว้างขวาง
ศาสตร์การนวดไทยดังกล่าวเกิดจากการเรียนรู้และผสมผสานวิชาการนวดมาทุกหลักสูตรอย่างครบวงจร และที่สำคัญ ฝึกฝนและพัฒนาเพิ่มเติมจนเกิดเป็นความรู้ที่ใช้ประโยชน์ เห็นผลจริง จนเป็นที่ยกย่องในฐานะปราชญ์ชาวบ้านด้านนวดแผนไทย
@@@ อุบัติเหตุหนัก พลิกชีวิตสู่อาชีพหมอนวด @@@
กว่าจะเป็นหมอนวดไทยชื่อดัง เส้นทางต้องกล่าวได้ว่าเหมือนปาฏิหาริย์ เพราะในอดีตป้าปุ้มประกอบอาชีพเป็นแม่ค้าขายส้มตำไก่ย่างอยู่ในท้องถิ่น ไม่เคยมีความรู้เรื่องการนวดแผนไทยใดๆ มาก่อนเลย จนเกิดอุบัติเหตุเสียหลักหกล้มหลังกระแทกพื้นจนต้องผ่าตัดด่วนเนื่องจากหมอนรองกระดูดทับเส้นประสาท ซึ่งหลังผ่าตัดเสร็จสิ้นอาการเจ็บปวดก็ยังไม่ทุเลา แทบจะเดินไม่ได้นานกว่า 2 ปี
ป้าปุ้มเล่าต่อว่า ตอนนั้นคิดเพียงว่า “จะทำอย่างไรไม่ให้ตัวเองเป็นภาระของครอบครัว” เลยลองไปเรียนนวดแผนไทยจากกระทรวงสาธารณสุข ความตั้งใจแรกเพื่อใช้บำบัดตัวเอง เมื่อได้ทดลองฝึกฝนและปฏิบัติตาม ช่วยให้อาการเจ็บดีขึ้นโดยลำดับ ก่อให้เกิดความสนใจอยากเรียนรู้เพิ่มเติมให้มากที่สุด จากนั้น ไล่เรียนตั้งแต่การแพทย์แผนไทยจากกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนวดเท้าและนวดตัว เรียนดัดจัดกระดูกจากแพทย์ชาวจีนและแบบตะวันตก เรียนคลายกล้ามเนื้อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง รวมถึงเรียนรู้ด้านสมุนไพร
“หลังจากที่ตัวป้าปุ้มฝึกและปฏิบัติเองแล้วได้ผล ก็เลยเริ่มมาช่วยนวดรักษาให้คนอื่นๆ ในท้องถิ่นบ้างจนยึดอาชีพเป็นหมอนวดแผนไทย ซึ่งลูกค้าที่มานวดแล้วได้ผลดีก็ช่วยไปบอกต่อกันเรื่อยๆ ทำให้มีลูกค้าคนนอกพื้นที่มาขอรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง” คุณป้าวัย 68 ปีเล่าถึงเหตุที่มายึดอาชีพหมอนวดแผนไทย
นอกจากวิชาที่เรียนมาแล้ว ป้าปุ้มยังใช้ประสบการณ์บวกความคิดสร้างสรรค์ นำ “ไม้นวดแป้งขนมเค้ก” ของลูกสาวมาเป็นเครื่องมือใช้ในการนวดเฉพาะจุดด้วยตัวเอง เช่น นวดหลัง ต้นขาด้านหลัง ท้ายทอย เป็นต้น ซึ่งป้าปุ้มให้ชื่อว่า “หมอในมุ้ง ไม้ป้าปุ้ม” เพราะอุปกรณ์ดังกล่าวคิดได้จากการใช้นวดตัวเองเวลานอนในมุ้ง ซึ่งต่อมาได้พัฒนาอุปกรณ์เป็น “ไม้ช่วยนวด” ทำจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้สัก ไม้กระท้อน และไม้มะค่า ส่งเข้าคัดสรรเป็นสินค้าโอทอป 3 ดาว
นอกจากนั้น ใน พ.ศ. 2547 มีการจัดงาน “แพทย์แผนไทยทางเลือก” ครั้งที่ 1 ณ เมืองทองธานี ป้าปุ้มได้เข้าแข่งขันการนวดอยู่ไฟหลังคลอดด้วย ผลปรากฏว่าได้รับรางวัลชนะเลิศ ตามด้วยคว้าแชมป์อีก 2 ครั้งต่อเนื่อง เท่ากับชนะเลิศ 3 ปีซ้อน ระหว่าง พ.ศ. 2547-2549
ถึงเวลานั้น กล่าวได้ว่าป้าปุ้มแจ้งเกิดเต็มตัวแล้วในฐานะหมอนวดแผนไทยที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ
@@@ รวมกลุ่มสร้างอาชีพ แจ้งเกิดแบรนด์ “ป้าปุ้ม” @@@
จากเบื้องต้นประกอบอาชีพหมอนวดในท้องถิ่น แต่ด้วยชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้น ป้าปุ้มได้รวมกลุ่มแม่บ้านในท้องถิ่นจัดทะเบียนจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอาภานวดแผนไทย เพื่อสร้างรายได้ให้ชาวชุมชน มีสมาชิกเบื้องต้น 12 คน ปัจจุบันมีประมาณ 20 คน โดยฝึกฝนวิชาการนวดแผนไทยให้สมาชิก รวมถึงให้เป็นแรงงานหาวัตถุดิบทำยาสมุนไพรต่างๆ เพื่อรองรับลูกค้าที่เดินทางเข้ามาใช้บริการนวดรักษาจากทั่วประเทศ
ป้าปุ้มเสริมว่า จุดเด่นของวิธีการนวดของเธอ คือ การรวมความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาไว้ด้วยกัน ครบถ้วนทั้งภูมิปัญญาไทย จีน และตะวันตก นำมาประยุกต์การนวดให้เหมาะกับลูกค้าที่มีปัญหาแต่ละราย มีทั้งการนวดจับเส้น นวดผ่อนคลาย นวดรักษา นวดเฉพาะจุด จัดกระดูก ทุบคลายจุด ฯลฯ ซึ่งในตัวคนเรานั้นจะมีเส้นประสาทนับหมื่นๆ เส้น แต่จะมีเพียง 10 เส้นสำคัญในการดูแลร่างกาย หากสามารถเข้าใจหลักการ แล้วนวดจับจัดเส้นและกระดูกได้ถูกต้องจะช่วยบำบัดอาการได้เห็นผล
นอกเหนือการนวดแล้ว ป้าปุ้มริเริ่มทำ “ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร” ใช้แบรนด์ว่า “ป้าปุ้ม” เพื่อมาประกอบในการนวดให้ได้ผลดียิ่งขึ้น โดยวัตถุดิบสมุนไพรต่างๆ จะรับซื้อจากชาวบ้านในท้องถิ่น ช่วยสร้างรายได้ในท้องถิ่นอีกทาง ซึ่งผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้นมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตัวขายดีสุดคือ “ยานวดสมุนไพรต้นตำรับ” ที่มียอดขายกว่า 2,000 ขวดต่อเดือน นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามมาเกือบ 50 รายการ เช่น แชมพู สบู่ น้ำมันเหลือง โลชั่นบำรุงผิว เป็นต้น
ในส่วนของรายได้นั้น ป้าปุ้มเผยว่าอยู่ที่หลักแสนบาทต่อเดือน ส่วนใหญ่จะมาจากการขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรต่างๆ นอกจากนั้นมีรายได้จากบริการรับนวด คิดค่าบริการ 100-300 บาท (แล้วแต่ลักษณะการนวด) ในเวลา 1.45 นาที โดยจะใช้พื้นที่ในบ้าน ต.บางเจ้าฉ่า อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง กว่า 4 ไร่เปิดเป็นสถานบริการ ซึ่งลูกค้าทั่วประเทศจะเดินทางมาหาเอง ปัจจุบันมีทีมหมอนวดรวม 6 คน รองรับลูกค้าได้ประมาณ 15-20 คนต่อวัน
เธอเล่าอย่างออกรสว่า ลูกค้าบางรายลงทุนออกค่าเดินทางให้ทั้งหมดเพื่อว่าจ้างให้ไปนวดถึงบ้าน ซึ่งเคยเดินทางไปนวดมาแล้วทั่วไทย ตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุดของประเทศ แถมเคยมีลูกค้าที่เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกาเพื่อจะมาให้ป้าปุ้มนวดรักษาให้โดยตรง นอกจากนั้น ป้าปุ้มยังรับสอนวิชาการนวดแผนไทยให้ด้วย คิดค่าสอน 7,000-10,000 บาท ไม่มีจำกัดเวลา สอนจนกว่าจะเก่งนำไปประกอบอาชีพได้ และถ้าเรียนเกิน 150 ชั่วโมงตามกำหนดของกระทรวงสาธารณสุขจะได้รับใบประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขด้วย นับถึงปัจจุบันมีศิษย์ที่ผ่านการสอนจากป้าปุ้มไปแล้วนับร้อยราย
ป้าปุ้มในฐานะประธานกลุ่มฯ อธิบายด้วยว่า รายได้จากค่านวดจะใช้ระบบหัก 20% เพื่อเข้าเป็นเงินกองกลางใช้บริหารจัดการเป็นค่าใช้จ่ายภายในกลุ่มสมาชิก ส่วนที่เหลือจะให้สมาชิกที่เป็นคนนวดทั้งหมด ส่วนลูกค้าที่เจาะจงจะให้ป้าปุ้มนวดให้เอง ต้อง โทร.นัดล่วงหน้าเนื่องจากมีลูกค้าขาประจำจองแน่น และตัวป้าปุ้มยังต้องทำหน้าที่เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้คนสนใจด้วยตามที่หน่วยงานรัฐต่างๆ จะเรียกไปช่วย
@@@ทายาทสานต่อภูมิปัญญา ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่มาตรฐาน @@@
ถึงจะมีความรู้ด้านนวดแผนไทยอย่างลึกซึ้ง ทว่า ด้วยวัยที่สูง การทำตลาดสมัยใหม่นั้นจึงไม่มีความชำนาญเอาเสียเลย อย่างตัวยานวดสมุนไพรต้นตำรับ เดิมจะใส่ขวด “เครื่องดื่มชูกำลัง” แปะกระดาษบอกยี่ห้อ ขายขวดละ 35 บาทเท่านั้น แต่ปัจจุบันได้ทายาทอย่าง “เตชิต ปรีชากูลย์” หรือ “เอก” ลูกชายวัย 38 ปี กับ “ชญาณ์พัฒน์ เอี่ยมแสง” หรือ “ออฟ” ลูกสะใภ้ วัย 31 ปี เข้ามาช่วยสานต่อ ยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน บรรจุภัณฑ์ดูสวยงามยิ่งขึ้น และกำลังเร่งผลักดันจากอาชีพท้องถิ่นไปสู่ธุรกิจที่สมบูรณ์และยั่งยืน
เตชิตเผยว่า เรียนจบมาด้านรัฐศาสตร์ ส่วนภรรยา (ออฟ) จบวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ก่อนหน้านี้ทำงานประจำ จนเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วเริ่มกลับมาช่วยคุณแม่อย่างจริงจัง ซึ่งเห็นจุดอ่อนด้านการตลาดอย่างชัดเจน เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่บ้านทุกวัน ส่วนตัวผลิตภัณฑ์ก็ได้รับการยอมรับด้านสรรพคุณ แต่เรื่องรายได้กลับน้อยกว่าที่ควรจะเป็น สาเหตุหลักเนื่องจากช่องทางขายสินค้ายังค่อนข้างแคบ อีกทั้งการผลิตยังไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ลูกค้าหน้าใหม่ขาดความเชื่อมั่น
“จากที่ผมกับออฟมาช่วยงานแม่ สิ่งแรกที่เรามาปรับปรุง คือ ด้านบรรจุภัณฑ์ ให้สวยมากยิ่งขึ้น จากใส่ขวดเครื่องดื่มชูกำลัง ขายขวดละ 35 บาท ปรับมาใส่ขวดพลาสติกใส มีฉลากบอกสรรพคุณ เพิ่มมูลค่าเป็นขวดละ 100 บาท ตามด้วยพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ ให้สะดวกต่อการใช้งานยิ่งขึ้น เช่น ปรับยานวดสมุนไพรมาใช้ในรูปแบบสเปรย์ เป็นต้น อีกทั้งขยายช่องทางตลาด โดยนำระบบออนไลน์มาใช้ เปิดแฟนเพจ เพื่อเป็นช่องทางสื่อสารกับลูกค้า สามารถสั่งสินค้าแล้วส่งไปทางไปรษณีย์ได้ทั่วประเทศ รวมถึงเปิดรับผู้สนใจมาเป็นตัวแทนขาย ซึ่งทุกวันนี้ส่งไปขายเกือบทั่วประเทศแล้ว” ลูกชายเผย และเล่าต่อว่า
ในด้านการปรับปรุงการผลิตให้ได้มาตรฐานนั้น ได้ใช้บริการสินเชื่อจำนวน 5 แสนบาทจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ช่วยค้ำประกันเงินกู้ให้ โดยเงินส่วนนี้นำมาก่อสร้างโรงงานผลิต มูลค่ารวมกว่า 2 ล้านบาท โดยตั้งเป้าว่าในอนาคตจะทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกตัวภายใต้แบรนด์ “ป้าปุ้ม” ผ่านมาตรฐานขององค์การอาหารและยา (อย.) หากทำได้แล้วจะเปิดโอกาสวางขายในช่องทางต่างๆ ได้กว้างยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าหรือส่งออกต่างประเทศ
ทายาทปราชญ์ชาวบ้านเผยอีกว่า กำลังเตรียมแผนจะปรับปรุงสถานที่บนเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ให้เหมาะรองรับลูกค้าที่จะมานวดแผนไทยได้สะดวกขึ้น และรับจำนวนลูกค้าได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 30-40 คนต่อวัน รวมถึงอยากทำสถานที่ให้เป็นศูนย์สุขภาพครบวงจร มีทั้งสปา โฮมสเตย์ เป็นต้น นอกจากนั้น ได้เพิ่มเติมแบรนด์ใหม่ ว่า “PINYA” เน้นเป็นสมุนไพรกลุ่มเวชสำอางเพื่อจับตลาดสูงขึ้น
“คุณแม่ทำมานาน แต่รายได้แค่พอเลี้ยงสมาชิกกลุ่ม ไม่มีเหลือเก็บมากพอสำหรับขยายธุรกิจ ผมเลยอยากจะมาช่วยต่อยอดให้ธุรกิจเกิดความยั่งยืน ซึ่งภูมิปัญญาการนวดแผนไทยของคุณแม่เป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว ผมมาเสริมแค่ตลาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ไปสู่ลูกค้าได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น” เตชิตกล่าว
ย้อนกลับมากล่าวถึงป้าปุ้มอีกครั้ง แม้จะมีวัยถึง 68 ปีแล้ว แต่ถ้าได้พบตัวจริงของท่านแล้วจะต้องทึ่งในความแข็งแรงคล่องแคล่ว ยิ่งได้เห็นการสาธิตวิชาการนวดต่างๆ แล้ว ยิ่งต้องแปลกใจว่าทำไมหญิงวัยเกินเกษียณยังสามารถยืดเหยียดแขนขา งอเข่าขึ้นลง หรือดัดตัวได้แบบที่คนหนุ่มสาวต้องอาย ที่ทำได้ทั้งหมดนั้น ป้าปุ้มสรุปในตอนท้ายว่า หัวใจแห่งการดูแลร่างกายด้วยการนวด คือต้องปฏิบัติอย่างรู้ลึกรู้จริง ที่สำคัญคือ มีวินัยกับตัวเอง ฝึกฝนทำอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง
ดั่งคำกล่าวว่า “สุขภาพดี ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง….”
@@@@@@@@@@@@@@@@@
โทร.08-6052-1237 / 09-1565-7039 / 09-2280-8129 หรือ FB: papoom.massageoil
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *